มาร์คหนุนแยกบริหารน้ำจากราชการ
“อภิสิทธิ์” โต้ รัฐบาล อย่าโยนบาปฝ่ายค้าน ยื่นตีความ พ.ร.ก.แต่ยัง เดินหน้าทำงานได้ หนุน แยกระบบบริหารจัดการน้ำออกจากราชการ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวในรายการฟ้าวันใหม่ ทางบลูสกายแชนแนล กรณีที่คนรัฐบาลที่ออกมาโยนความผิดให้ฝ่ายค้านและศาลรัฐธรรมนูญว่าจะเป็น ตัวการที่ทำให้น้ำท่วมเพราะขัดขวางการทำงานของรัฐบาล จากที่ยื่นพิจารณาตีความ พ.ร.ก. 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.โอนหนี้ฯและ พรก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ว่า รัฐบาลควรหยุดโทษคนอื่น และเร่งเดินหน้าแก้ปัญหาน้ำท่วมจะดีกว่า โดยเฉพาะการเร่งออกแบบจำลองเกี่ยวกับทิศทางการไหลของน้ำ การวิเคราะห์ปริมาณน้ำให้มีความแม่นยำให้เสร็จภายในเดือนสองเดือนนี้ ก่อนที่น้ำจะมา และเห็นด้วยที่จะมีการแยกการบริหารจัดการน้ำออกจากระบบราชการ เพราะที่ผ่านมาการแก้ปัญหาติดขัดหลายอย่าง อีกทั้งมีการเมืองเข้าไปแทรกแซงจนทำให้การบริหารจัดการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเพิ่มอำนาจให้นายกรัฐมนตรีมากขึ้นนั้น จากปัญหาน้ำท่วมในช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจตาม มาตรา 31 โดยเฉพาะเรื่องของการออกคำสั่งในการเปิดปิดประตูระบายน้ำ แต่กลับมีการโยนมาว่าเป็นเรื่องของผู้ว่าฯกทม. ดังนั้นปัญหาจึงไม่น่าจะอยู่ที่กฎหมายแต่อยู่ที่การบริหรจัดการมากกว่า ส่วนที่จะแก้ไขให้การเบิกจ่ายเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้นโดยให้นายกฯใช้ วิธีพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้างนั้น เห็นว่าความรวดเร็วเป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องมีความโปร่งใสด้วย หากใช้วิธีพิเศษก็ต้องดูว่าจะมีปัญหาความไม่โปร่งใสตามมาหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยังเป็นห่วงกรณีที่รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการใน แต่ละพื้นที่อย่างไร ควรต้องหาความพอดีระหว่างการใช้ความรู้จากชุมชนท้องถิ่นมีความชำนาญใน พื้นที่มากกว่าเสนอความเห็นในการแก้ปัญหา แต่ไม่ใช่ให้ท้องถิ่นกำหนดแผนเอง เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีความเชื่อมต่อกัน รัฐบาลจึงควรทำหน้าที่ประสานข้อมูลและกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนกาบริหาร จัดการน้ำได้ผลมากที่สุด
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุคส่วนตัว ชื่อ Korn Chatikavanij หัวข้อ "ถ้ากู้เงิน แล้วน้ำจะไม่ท่วม...จริงหรือ" โดยระบุว่า รัฐบาลพยายามสร้างกระแสว่าถ้าไม่มีพรก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน รัฐบาลจะทำงานไม่ได้ ถ้าน้ำท่วมก็จะเป็นความผิดของฝ่ายค้านและศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการพยายามปลุกกระแสที่ขาดความรับผิดชอบเช่นเคย
"ประเด็นแรก คือ ถึงมีการยื่นตีความ พรก.ก็ถือว่ามีผลบังคับใช้แล้ว รัฐบาลเดินหน้าต่อได้เลย ตอนสมัยเพื่อไทยยื่นตีความพรก.ประชาธิปัตย์ผมก็ไม่ได้หยุดทำงาน ประเด็นที่สอง และเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด - ความจริงวันนี้คือรัฐบาลยังไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ไม่มีแผนการเบิกจ่าย และจึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ตามนิยามรัฐธรรมนูญ) ในการออกกฎหมายในรูปพระราชกำหนด
ลองอ่านสัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งครับ การแถลงแผนแม่บทแก้น้ำท่วม เป็นแค่แผนในกระดาษที่วางกรอบไว้เพื่อขออนุมัติวงเงินเท่านั้น" อ.ปราโมทย์ ไม้กลัด 20/มกราคม/2555 "การอนุมัติงบประมาณ 350,000 ล้านบาท อนุมัติเพียงไม่กี่วินาที ไม่มีข้อเสนอของนักวิชาการที่เป็นรูปธรรม" อ.สมิทธ ธรรมสโรช 26/มกราคม/2555 ดังนั้นถ้าน้ำจะท่วมอีกก็เป็นเพราะรัฐบาลยังมัวหมกมุ่นกับการคิดแต่เรื่อง เงินแทนที่จะคิดเรื่องงาน โดยกำหนดแผนการลงทุนป้องกันให้ชัดเจน
สุดท้ายนี้ คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง พยายามบอกในสภาฯว่า ต้องกู้มาให้เขาเห็น จะได้มั่นใจ คิดผิดครับ ใครๆเขาก็รู้ว่าเรามีเงิน ที่เขาไม่มั่นใจเลยก็คือ เรารู้หรือเปล่าว่าควรจะเอาเงินไปใช้อย่างไร ผมกังวลว่าถ้ารัฐบาลสามารถกู้เงินได้ตามใจชอบอย่างนี้ ความตั้งใจที่จะควบคุมให้มีวินัยทางการคลังโดยรัฐธรรมนูญก็จะพบแต่ความล้ม เหลว". ![]()
