คำให้การ"ณัฐวุฒิ"ปริศนาหุ้นพุ่ง80ล้าน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีสายล่อฟ้า รบ. ยิ่งลักษณ์ 2 กำลังถูกจับจ้องจากสังคม เพราะไม่ใช่แค่นักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อ “ชาวไพร่” แต่เขากำลังถูกสื่อมวลชนตรวจสอบ ที่คว้างาน PR และจัดมวลชนสร้างภาพลักษณ์โครงการท่อก๊าซ ปตท. กว่า 30 ล้านบาท
และก่อนเข้ารับตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช เดือน ก.พ. 2551 ณัฐวุฒิ ได้โอนหุ้นจำนวน 2 หมื่นหุ้น มูลค่า 2 ล้านบาท (ซึ่งถืออยู่ตั้งแต่ก่อตั้งปี 2544) ไปให้ เจตนันท์ ใสยเกื้อ (พี่ชายณัฐวุฒิ) กระทั่งเมื่อเดือน เม.ย. 2554 บริษัทได้เพิ่มทุนสูงถึง 80 ล้านบาท
ทั้งที่ตอนรับตำแหน่ง สส. วันที่ 2 ส.ค. 2554 ณัฐวุฒิ แจ้งรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 21.8 ล้านบาท
เส้นทางการเงิน ณัฐวุฒิ น่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะหุ้นมูลค่า 80 ล้านบาท ที่โผล่ออกมานั้น เกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่
"ผมทำธุรกิจอยู่ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่การเมือง เมื่อจะเข้าสู่การเมืองก็ตัดสินใจยุติเรื่องธุรกิจ พี่ชายก็มาทำต่อ เป็นไปตามกลไกธุรกิจ และผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรอีก มันเป็นการทำธุรกิจด้านประชาสัมพันธ์เดินต่อเนื่องกันมา ซึ่งผมทำมา 5-6 ปี บริษัทก็เติบโตขึ้นเป็นลำดับ แต่ไม่ได้มีถึง 70-80 ล้านบาท มันเป็นการเติบโตของกิจการภายหลังผมไม่อยู่แล้ว พี่ชายเขาทำโตขึ้นมาอีก แล้วเขาก็เพิ่มทุน ซึ่งผมก็ไม่ทราบรายละเอียด” ณัฐวุฒิ ชี้แจง
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2544 ณัฐวุฒิ ได้ร่วมกับ สนธยา ทิพย์อาภากุล ร่วมก่อตั้งบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท แจ้งข้อมูลต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าประกอบธุรกิจ “ให้คำปรึกษาและวางแผนด้านประชาสัมพันธ์ ซึ่งสำนักงานอยู่แถวซอยลาดพร้าว 101 มีผู้ถือหุ้นในช่วงก่อตั้ง 8 คน โดย ณัฐวุฒิ ถือหุ้น 2 หมื่นหุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท (ลงทุน 2 ล้านบาท) ขณะที่ สนธยา ถือหุ้น 29,994 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท หรือ 2.9 ล้านบาท
กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ สนธยา และ ณัฐวุฒิ เป็นกรรมการ ทั้งสองคนได้ร่วมกันถือหุ้นเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 1 ก.พ. 2551 สนธยา ได้ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น ณ วันที่ 2 ม.ค. 2551 โดยหุ้นของ ณัฐวุฒิ จำนวน 2 หมื่นหุ้น ถูกโอนไปให้ เจตนันท์ 11,975 หุ้น และ มฆวัต กาญวัฒนะกิจ 8,025 หุ้น (บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นระบุว่า อยู่บ้านเลขที่ 253 ถนนราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช) จากเดิมมีผู้ถือหุ้น 8 คน เพิ่มเป็น 9 คน ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่เปลี่ยนแปลง
น่าสังเกตว่าการโอนหุ้นเกิดขึ้นก่อนที่ ณัฐวุฒิ จะเข้ารับตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลในยุค สมัคร เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเดือน ก.พ. 2551
วันที่ 23 มิ.ย. 2551 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง หุ้นที่อยู่ในชื่อ มฆวัต จำนวน 8,025 หุ้น ได้ถูกโอนไปให้ เจตนันท์ ทำให้ เจตนันท์ ถือครองรวม 2 หมื่นหุ้น (จำนวนเท่ากับที่ ณัฐวุฒิ เคยถือครองก่อนหน้านี้)
ล่าสุด วันที่ 1 เม.ย. 2554 บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น ได้เพิ่มทุนจาก 5 ล้านบาท เป็น 80 ล้านบาท
ณัฐวุฒิ ยืนยันกับโพสต์ทูเดย์ ว่า ทรัพย์สินจากการเพิ่มทุน 80 ล้านบาท ไม่ได้งอกเงยมาจากเขา แต่เป็นผลงานทำธุรกิจของพี่ชาย “ตอนที่ผมออกมาก็ไม่โตขนาดนี้ แล้วไปดูให้ชัด เขาเข้ามา ขยายฐานธุรกิจ ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง ช่วงที่เขาเติบโตเป็นช่วงที่ผมมาอยู่กับคนเสื้อแดง จะบอกว่าผมไปใช้อำนาจหน้าที่เอื้อ จะเอื้ออย่างไร ช่วงนั้นยังแทบไม่มีที่จะอยู่ เดิมที่มีหุ้นอยู่จำนวนหนึ่ง จดทะเบียนไม่กี่ล้านบาท ผมไม่มีความสนุกกับการทำธุรกิจแล้วในเวลานั้น ผมเข้าสู่การเมืองเต็มตัว เรื่องบริษัทไม่มีอะไรซับซ้อนเลย”
ณัฐวุฒิ ยังแจกแจงรายการทรัพย์สินส่วนอื่นๆ ว่า กรณีบ้าน เป็นทรัพย์สินปกติซื้อตั้งแต่ต้นปี 2548 และรถเบนซ์ที่ใช้อยู่ไปรีไฟแนนซ์ ไปดาวน์เดี๋ยวนี้ยังผ่อนอยู่ ส่วนพื้นที่บ้านที่เว็บไซต์ข่าวนำเสนอว่ามีพื้นที่ 274 ตารางวา ก็ไม่ใช่ เพราะข้อเท็จจริงมีพื้นที่ 100 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอย 274 ตารางเมตร ก็คงเข้าใจกันผิดตีความไปใหญ่โต ส่วนที่ดินภรรยาได้รับมรดกมาก็มี ตนเองได้รับมาบ้าง ไปซื้อมาบ้างตอนหลัง เป็นพื้นที่นาบ้าง ใน จ.นครศรีธรรมราช ส่วนเงินในบัญชีบุตร เป็นของคุณตาโอนให้ เพราะสงสารตอนที่ตนเองติดคุก
“ต้องเข้าใจนะ ว่าผมไม่ได้มาจากดาวอังคารที่ไม่มีอะไรมาเลย ผมก็มาจากวงศ์วานว่านเครือของผม มีครอบครัว มีอะไรที่ทำมาหากินและส่งมอบกันมาบ้าง ผมหาเงินได้เดือนหนึ่งหลายแสนบาทตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ แล้ว มีขีดความสามารถเรื่องการบริหารจัดการอยู่บ้าง ที่จะทำให้ทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้นมา แล้วถ้าผมไม่เข้าสู่การเมือง ผมว่าวันนี้น่าจะเหยียบล้าน ที่ผมทำงานได้ เมื่อเข้าสู่การเมือง ติดคุกติดตะราง เฉียดเป็นเฉียดตาย ถูกตามล่า เหยียดหยามต่างๆ นานา เอาอะไรมาแลก ลูกเมียครอบครัวบางทีก็กระจายพลัดพราก ชีวิตในบางแง่มุมในบางสถานการณ์มองไปข้างหน้ามืดทุกด้าน ไม่รู้ว่าจะพบแสงสว่างเมื่อไหร่ แต่ผมก็ตัดสินใจทำ ถ้าย้อนหลังกลับไปได้อีก ผมก็ทำอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าเลือกวิถีชีวิตแบบเดิมของผมป่านนี้แม้ไม่มีคนแสดงออกว่ารัก แต่จะไม่มีคนแสดงว่าเกลียดอย่างแน่นอน”
ณัฐวุฒิ อธิบายว่า อาชีพก่อนเข้าสู่การเมืองสามารถสร้างรายได้ให้ตัวเขาตกเดือนละ 4-5 แสนบาทแล้ว
“รายได้มาจากนักพูด ผมขับรถเบนซ์ตั้งแต่อายุ 26-27 ปี ยังไม่เข้าการเมือง มีรายได้เมื่ออายุ 20 กว่า เดือนละ 4-5 แสนบาท ผมหาได้แล้ว ผมทำได้หลายอย่าง งานหลากหลาย ทอล์กโชว์ บรรยาย ไปร้องเพลงแหล่ ก็เป็นช่องทางประกอบอาชีพของเรา แล้วคิดดูว่าวันอย่างนั้นผมอายุ 25-26 ปี เดี๋ยวนี้อายุ 36 ปี 10 ปีให้หลังมันจะมีอัตราการขยายตัวแค่ไหนอย่างไร”
ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ทรัพย์สินเพิ่มพูนรวดเร็วเพราะ “สู้แล้วรวย” ณัฐวุฒิ ถามกลับ “แล้วไม่คิดบ้างหรือถ้าไม่ไปสู่เวทีการเมืองผมจะรวยกว่านี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าผมจะสบายกว่านี้ ใครจะรู้บ้างว่าวันหนึ่งสู้มาแล้วจะมาเป็นผู้แทนฯ มาเป็นรัฐมนตรี ถ้าถูกยิงตายกลางทาง ถ้าถูกขังไม่ได้ออก ถูกไหมครับ”“เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ถ้าคิดด้วยใจเป็นธรรม ผมว่าเราเข้าใจกันได้ แต่ถ้าคิดในเชิงตั้งคำถามปฏิปักษ์ ก็เป็นเรื่องที่ผมเข้าใจ ถ้าอยากต้องการคำอธิบายก็พร้อมชี้แจง”
