หลังดองคดีเปลี่ยนองค์คณะเขาพระวิหารนานกว่าปี ป.ป.ช.เพิ่งมีมติสอบ5ตุลาการศาลสูง
กรณีการร้องเรียน อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดและพวกใช้อำนาจโดยมิชอบเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในคดีปราสาทพระวิหารแทบจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ หลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติให้รับเรื่องดังกล่าวไว้ไต่สวนเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553
หลังจากมีมติดังกล่าว ปรากฏว่า เกิดปฏิกิริยาแสดงอาการไม่พอใจจากดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุดซึ่งอ้างว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจเข้ามาไต่สวนกรณีดังกล่าวเนื่องจากเป็นการใช้อำนาจตุลาการ ถ้า คณะกรรมการ ป.ป.ช.เข้ามาไต่สวนได้ จะเป็นการแทรกแซงอำนาจตุลาการซึ่งขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย
แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังคงยืนยันว่า ตนเองมีอำนาจในการไต่สวนประธานศาลปกครองสูงสุด และตุลาการซึ่งถูกกล่าวหาที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270
อย่างไรก็ตาม ในการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น สำนักงาน ป.ป.ช.ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารสำนักงานศาลปกครองเท่าที่ควรและมีข่าวด้วยว่า ตุลาการศาลปกครองสูงสุดบางคนพยายามที่จะล็อบบี้ให้กรรมการ ป.ป.ช.ยุติการไต่สวนดังกล่าวซึ่งทางเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช.ได้สรุปข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า เรื่องร้องเรียนไม่มีมูลโดยอ้างว่า ในคดีปราสาทพระวิหาร เดิมมีการจ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะที่มี นายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าองค์คณะและตุลาการเจ้าของสำนวนได้สละสำนวนก่อนที่องค์คณะจะมีมติว่า จะมีคำสั่งหรือมาตรการคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่
จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนให้องค์คณะที่มีนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะพิจารณาแทน
ทั้งนี้ข้อสรุปของสำนักงาน ป.ป.ช.ซึ่งเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นการสรุปข้อเท็จจริงฝ่ายเดียวจากสำนักงานศาลปกครองสูงสุด!แต่เมื่อมีการนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ปรากฏว่า คณะกรรมการมีมติให้เดินหน้าไต่สวนต่อโดยให้นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.เจ้าของสำนวนไปแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แต่เวลาที่ผ่านไปหลายเดือนแทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ
จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนมกราคม 2555 ที่ผ่านมา เพิ่งมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่อีกครั้ง
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช.ไปแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยให้ไปสอบปากคำองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด 5 คนที่พิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร ประกอบด้วย นายจรัญ หัตถกรรม หัวหน้าคณะและเจ้าของสำนวน(ปัจจุบันเกษียณอายุแล้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านคดีปกครอง) นายชาญชัย แสวงศักดิ์ (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด) นายเกษม คมสัตย์ธรรม(ปัจจุบันเป็นรองประธานศาลปกครองสูงสุด) นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์(เกษียณอายุแล้ว เป็นที่ปรึกษาในศาลปกครองสูงสุด)
เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีดังกล่าวนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี แต่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพิ่งเริ่มคิดที่จะสอบปากคำองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่พิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร ทั้งๆที่ องค์คณะตุลาการคณะนี้ เป็น "หัวใจ" สำคัญของคดีที่จะไขปริศนาเรื่องราวทั้งหมดได้
การดึงเรื่องไว้ไม่ยอมสอบปากคำองค์คณะตุลาการคณะนี้ตั้งแต่ต้น จึงน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ยอมตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน เหมือนคดีอื่น ทั้งๆที่ผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนดำรงตำแหน่งระดับสูงทั้งสิ้นสำหรับรายละเอียดของคดีดังกล่าวที่ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. สรุปได้ดังนี้มีการทำเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดใช้อำนาจโดยมิชอบในการสั่งเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่พิจารณาคดีคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวที่มิให้นำมติ ครม.นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปดำเนินการใดๆ ทั้งๆที่องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากไม่รับคดีไว้พิจารณาแล้ว
คดีดังนี้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยื่นฟ้อง ครม.นายสมัครและกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว
ต่อมา ครม.อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดได้สั่งให้จ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะที่มี นายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะและเจ้าของสำนวน ตุลาการอีก 4 คน ประกอบด้วย นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายเกษม คมสัตย์ธรรม นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
ปรากฏว่า องค์คณะมีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้กลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง ไม่รับคดีไว้พิจารณา โดยฝ่ายเสียงข้างมากได้แก่ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
ขณะที่ยังไม่ลงนามในคำสั่งครบทั้งองค์คณะ อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเปลี่ยนมาใช้องค์คณะฯที่ 1 ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดขณะนั้น เป็นหัวหน้าคณะเป็นผู้พิจารณาแทน และมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
จากข้อร้องเรียนดังกล่าว เห็นชัดว่าน่าจะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะองค์คณะมีการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว การสละสำนวนจึงไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจเนื่องจากมีผลต่อความเป็นอิสระของตุลาการ เพราะถ้าผู้จ่ายสำนวนสามารถเลือกได้ว่า จะจ่ายสำนวนให้องค์คณะใดได้ตามอำเภอใจ อาจจะทำให้เกิดกรวิ่งเต้นหรือทำให้การพิพากษาคดีเป็นไปตามที่ผุ้จ่ายสำนวน ต้องการได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (มาตรา 56) จึงวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ต้องจ่ายสำนวนตามความเชี่ยวชาญขององค์คณะ และ/หรือแบ่งตามพื้นที่ความรับผิดชอบขององค์คณะ และ/หรือ จ่ายสำนวนโดยไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้า (ต้องสร้างระบบรองรับ)
เมื่อจ่ายสำนวนแล้ว ห้ามเรียกคืนหรือโอนสำนวน เว้นแต่ทำตาม 1.ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เช่น เมื่อปรากฏเหตุใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม
2.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะถูกคัดค้าน
3.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะ มีคดีค้างจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า(ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีคดีล้นมือทุกคน เหตุผลนี้จึงไม่น่าใช้ข้อที่อาจนำมาอ้างได้)ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้นคือ นายจรัญใช้ข้ออ้างมีคดีค้างจนล้นมือก็ควรสละสำนวนตั้งแต่ได้รับคดีมาแต่แรก ไม่ใช่ส่งคืนหลังจากเห็นแนวโน้มว่าจะแพ้เสียงในองค์คณะหรือมีการพิจารณาคดีไปแล้ว?
นอกจากนั้น ก่อนสละสำนวนต้องนำเรื่องเข้าพิจารณาในองค์คณะหรือไม่?คดีดังกล่าว ถ้ามีการใช้อำนาจหน้าที่ในการเปลี่ยนองค์คณะตุลการโดยมิชอบด้วยกฎหมายจริงเท่ากับเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงเพราะเป็นการแทรกแซงจากผู้บริหารศาลหรือจากภายในกันเอง ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบหรือตรวจสอบได้ยาก
ดังนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ตรงไปตรงมา เพื่อธำรงไว้ซึ่งความศรัทธาต่อระบบศาลเช่นเดียวกันเมื่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้สอบปากคำองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดคณะนี้แล้ว หวังว่า ด้วยจริยธรรมและคุณธรรมของตุลาการศาลปกครองสูงสุดต้องให้การไปตามความเป็นจริงพร้อมพยานหลักฐานต่างๆเพื่อพิสูจน์ว่า
ผู้มีอำนาจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบกระทำความผิดต่อหน้าที่ในการยุติธรรมจริงหรือไม่
