สยามประชาภิวัฒน์ ค้านแก้รธน. เชื่อเป็น “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาด”
กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ เชื่อการเสนอแก้รธน.ของทุกกลุ่ม มีแนวโน้มไปสู่ “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาด” ใต้เสื้อคลุมปชต. ชี้ทางออกต้องร่วมปฏิรูปประเทศไทยทุกมิติ
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง หยุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบ “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาด” ภายหลังที่รัฐบาลจะเสนอต่อประธานรัฐสภาให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามร่างฯ แก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย โดยจะแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 99 คน ทำการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และในขณะเดียวกันก็มีข้อเสนอของกลุ่มต่างๆ ที่เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเข้าทำการยกร่างรัฐธรรมนูญ
กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ได้ประกาศจุดยืนว่า ทางกลุ่มฯ ไม่เห็นด้วยกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลและกลุ่มแนวร่วมต่างๆ ไม่ว่าจะเสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีใดๆ ทั้งนี้เพราะมีแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่าจะนำไปสู่การสร้างระบอบ “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาด” เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย
“กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ขอเสนอว่าโจทย์สำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องคิดและตอบต่อสังคมก่อนที่จะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ “ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวังวนของระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนผูกขาดได้อย่างไร” ซึ่งทางกลุ่มฯ เห็นว่าคำตอบอยู่ที่ทุกฝ่ายควรร่วมกัน “ปฏิรูปประเทศไทย” ทั้งระบบ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยทุกฝ่ายต้องสละผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องภายใต้การเคารพการมีส่วนร่วมของประชาชนและเป็นไปตามหลักการทางวิชาการ”
ทั้งนี้ เพื่อให้ระบบการเมืองของประเทศไทยเป็นระบบการเมืองที่มีดุลยภาพด้านอำนาจระหว่างสถาบันต่างๆ ทางการเมือง ซึ่งหมายถึงการมี “สิทธิและเสรีภาพ” “การแบ่งแยกอำนาจ” และ “การตรวจสอบและถ่วงดุล” ในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่ขจัดการผูกขาดสร้างเป็นธรรมต่อชนทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการสร้างสังคมที่อยู่ดีมีสุขอย่างแท้จริง
กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ เห็นว่าปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่แท้จริงของประเทศไทยมีสาเหตุมาจากระบบการเมืองที่ถูกครอบงำจาก “ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน” ส่งผลให้การเมืองไทยไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“การที่รัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้กำหนดให้ “ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง” “พรรคการเมืองมีอำนาจขับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ออกจากพรรคได้” และกำหนดให้ “นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” มีผลจูงใจให้นายทุนหรือนักธุรกิจที่สะสมทุนไว้มากพอจากธุรกิจผูกขาดสัมปทานของรัฐ เข้ามาลงทุนทำ “ธุรกิจการเมือง” โดยร่วมมือกับกลุ่มข้าราชการประจำเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวอันมิชอบ”
อ่านเพิ่มเติม
แถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง หยุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบ “เผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาด”
