“คปก.” ชง กกต. รับเป็นแม่งาน เดินเรื่องเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
“คปก.” เสนอ กกต. รับเป็นแม่งาน ดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เชื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่ต่างจากการเลือกตั้ง ระบุ ร่างกฎหมาย ปชช. ต้องได้รับการพิจารณาโดยเร็ว ไม่เกิน 2 สมัยประชุม
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ นายไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) กล่าวว่า นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้ทำหนังสือบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.....ต่อประธานรัฐสภาและวุฒิสภา
“คปก. มีความเห็นว่า ประชาชนผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายควรมีสิทธิเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เนื่องจาก กกต.เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง บุคลากร เครื่องมือและความเชี่ยวชาญเฉพาะในการจัดการเพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิในการเลือกตั้งอยู่แล้ว การเปิดให้ประชาชนจำนวนมากเข้ามาแสดงตนและใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายจึงมีลักษณะเป็นการใช้สิทธิมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีลักษณะคล้ายคลึงการใช้สิทธิเลือกตั้ง และถือเป็นหน้าที่ของ กกต. ในการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แม้จะทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายแก่รัฐมากขึ้นก็ตาม ขณะเดียวกันควรกำหนดระยะเวลาในการเข้าชื่อให้ยาวนานมากกว่า 90 วัน”
สำหรับประเด็นการพิจารณาร่างกฎหมายของภาคประชาชนที่มักมีความล่าช้านั้น นายไพโรจน์ กล่าวว่า คปก.เห็นว่าควรแก้ไขปัญหา โดยกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาร่างกฎหมายของประชาชนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ไม่เกิน 2 สมัยประชุม เป็นต้น ขณะเดียวกันควรกำหนดให้ถือว่าร่างกฎหมายของภาคประชาชนต้องได้รับการพิจารณาโดยเร็ว ไม่ว่าจะมีร่างของรัฐบาลหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอขึ้นมาประกบตามธรรมเนียมปฏิบัติหรือไม่ก็ตาม
“ส่วนในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนผู้แทนราษฎร หรือวาระของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ให้คณะรัฐมนตรีถามตัวแทนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายว่า จะยืนยันให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไปในสมัยประชุม หลังการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 หรือไม่ ภายในกำหนดเวลา 60 วัน ซึ่งหากประชาชนยืนยันให้ดำเนินการต่อ รัฐสภาควรเร่งพิจารณา”
นายไพโรจน์ กล่าวถึงการกำหนดโทษทางอาญา สำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายว่า คปก.เห็นว่าไม่ควรกำหนดฐานความผิดและบทลงโทษ เนื่องจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน อีกทั้งหากมีการกระทำความผิดที่มีเหตุมาจากการแสดงเอกสารหลักฐานในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย กรณีดังกล่าวก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว
ขณะที่การกำหนดผู้แทนประชาชน ที่เข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภานั้น นายไพโรจน์ กล่าวว่า ควรกำหนดให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าว จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ
นอกจากนี้ควรกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิขอให้กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเข้ามาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในกระบวนการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน เนื่องจากกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองภายใต้พระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. 2551 มีหน้าที่โดยตรงในการสนับสนุนการรวมตัวกันของประชาชนเป็นเครือข่ายเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดเห็นหรือความต้องการของตน
อย่างไรก็ตาม นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า คปก.เห็นควรให้ใช้ร่างพระราชบัญญัติของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยนายภูมิ มูลศิลป์ หรือนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ร่างใดร่างหนึ่งเป็นหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญด้วย
