ศาลอุทธรณ์ยืนคำสั่งระงับการแบนผู้ลี้ภัย-มุสลิม 7 ชาติเข้าสหรัฐฯ
เอเอฟพี - ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นวานนี้ (9 ก.พ.) ให้ระงับคำสั่งแบนผู้ลี้ภัยและพลเมือง 7 ชาติมุสลิมที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ต่อไปอีก ซึ่งนับเป็นความพ่ายแพ้ทางกฎหมายอีกครั้งหนึ่งของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่
คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในนครซานฟรานซิสโกเกี่ยวกับคำสั่งบริหารของทรัมป์ เป็นมรสุมลูกล่าสุดที่รัฐบาลรีพับลิกันต้องเผชิญในช่วง 3 สัปดาห์แรกของการบริหารประเทศ
“ศาลพิจารณาเห็นว่า รัฐบาลไม่สามารถชี้แจงเหตุผลที่ดีในการยื่นอุทธรณ์ และไม่สามารถชี้แจงได้ว่า หากไม่บังคับใช้คำสั่งดังกล่าวต่อไปจะเกิดความเสียหายที่ไม่อาจกู้คืนได้อย่างไร” ศาลอุทธรณ์เขต 9 ระบุในคำพิพากษาที่เป็นเอกฉันท์
คำสั่งบริหารของทรัมป์ มีผลทำให้โครงการรับผู้ลี้ภัยถูกระงับไว้ 120 วัน และห้ามพลเมืองอิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน เดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ในขณะที่ผู้ลี้ภัยจากซีเรียจะถูกห้ามอย่างไม่มีกำหนด
หลังศาลอ่านคำพิพากษาแค่ไม่กี่นาที ผู้นำสหรัฐฯ ก็ได้ทวีตข้อความตอบโต้ “เจอกันในศาล ความมั่นคงของประเทศกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง!”
รัฐบาลทรัมป์ยืนยันว่าจำเป็นต้องใช้มาตรการแบนคนต่างด้าวกลุ่มเสี่ยง เพื่อสกัดกั้นผู้ก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) และอัลกออิดะห์ที่อาจจะแฝงตัวมากับคลื่นผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง ทว่าคำสั่งนี้ได้สร้างความโกลาหลในการเดินทาง และถูกประณามอย่างหนักหน่วงจากองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพ
นักวิจารณ์หลายคนชี้ว่า การออกคำสั่งที่เจาะจงแบนชาวมุสลิมเช่นนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญอเมริกัน
ศาลอุทธรณ์นครซานฟรานซิสโก ระบุว่า ความใส่ใจที่ประชาชนมีต่อคดีนี้นับว่าเป็นผลดีถึง 2 ด้าน
“ในด้านหนึ่ง ประชาชนหันมาให้ความสนใจเรื่องความมั่นคงของชาติ และศักยภาพของประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งในการบังคับใช้นโยบายต่างๆ... ส่วนอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็เห็นความสำคัญของเสรีภาพในการเดินทาง การช่วยเหลือครอบครัวไม่ให้ต้องพรากจากกัน และการไม่แบ่งแยกกีดกัน”
ขอบคุณข่าวจาก

