ไม่ใช่แจกแล้วจบ... นโยบาย 1 แท็บเล็ตต่อ 1 นักเรียน
อีกไม่นานเกินรอ เด็ก ป.1 ทั่วประเทศ ที่จะได้รับแจกแท็บเล็ตฟรีไปครอบครอง ตามโครงการ One Tablet Pc Per Child ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หลังจากที่มีการประกาศออกมาแล้วว่า แท็บเล็ต 900,000 เครื่อง จะถึงมือเด็กๆ ทันเปิดเทอมในเดือน พฤษภาคมอย่างแน่นอน !
สำหรับความพร้อมในเรื่องนี้ รมว.ศึกษาธิการ "สุชาติ ธาดาธำรงเวช" ออกมายืนยันในเรื่องของเนื้อหาที่จะใส่ลงแท็บเล็ตและการอบรมครูนั้น เตรียมพร้อมแล้ว ทั้งนี้ยังรวมถึงสเปกเครื่องด้วย ซึ่งเบื้องต้นได้มีการกำหนดไว้ดังนี้
ความเร็ว (CPU) อยู่ที่ 1 กิกะเฮิรตซ์ หน่วยความจำหลัก 512 เมกะไบต์ จอแสดงผลขนาดไม่น้อยกว่า 7 นิ้ว ความละเอียดอยู่ที่ 1,024 x 768 พิกเซล และหน่วยบันทึกภายใน (Internal Storage) 16 กิกะไบต์ มีระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก ระบบสื่อสารข้อมูล เช่น มีอุปกรณ์การเชื่อมต่อแบบ USB เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายได้และมีกล้องในตัวเครื่อง ทั้งหมดนี้ในราคาเครื่องละ 2,400 บาท
สเปกข้างต้น กับราคา 2,400 บาท ที่กล่าวมานี้ จะสามารถซื้อได้จริงหรือ? นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรและผู้ผลิตรายการแบไต๋ไฮเทค ผู้คร่ำหวอดในวงการไอที ให้คำตอบในเรื่องนี้กับ “ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ” ว่า จากการตรวจสอบสเปกเครื่องแท็บเล็ตแล้ว ยืนยันว่า หากไม่ได้ทำการซื้อแบบ จีทูจี (Government to Government) ในตลาดไม่สามารถได้ราคานี้มาอย่างแน่นอน !
คุณสมบัติหลักๆของเครื่องสอบผ่านเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วและหน่วยความจำหลัก ขนาดจอและความละเอียดก็ไม่มีปัญหา ส่วนของหน่วยบักทึกภายใน 16 กิ๊กกะไบท์ก็ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับใส่ข้อมูลเนื้อหาอื่นๆ ไฟล์ PDF ได้สบาย หากไม่มีการบรรจุวิดีโอ รวมถึงการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายเป็นความคิดที่ถูกต้องทีเดียว
ราคา 2,400 บาทกับการตั้งสเปกที่ค่อนข้างโหดของทางรัฐบาล ในตลาดอาจซื้อได้ในราคา 4,000 -5,000 บาท ฉะนั้นจึงไม่แปลก หากรัฐบาลจะเลือกการซื้อขายแบบ จีทูจี กับรัฐบาลจีน ก็คงได้ตามราคาที่กำหนดไว้ได้ไม่ยากนัก
นอกจากนี้ ข้อกังวลของหลายฝ่าย ต่อตัวผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเมืองจีน ที่ดูแล้วจะไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ แต่ทว่า สำหรับคนไอทีอย่างเขา ย้ำชัดถึงภาพเทคโนโลยีในมือของผู้คนทั่วโลกที่มาพร้อมคำประทับตราว่า Made in China ฉะนั้นเขาจึงไม่เป็นกังวลกันมากในเรื่องความปลอดภัย แต่กลับห่วงเรื่องบริการหลังการขายมากกว่า
“ที่แน่ๆว่าใน 9 แสนเครื่องที่กำลังจะสั่งซื้อในครั้งนี้จะต้องมีเครื่องที่เสียปนอยู่บ้าง แต่จุดสำคัญอยู่ที่ ต้องมานั่งลุ้นกันว่า อัตราการเสียหรือการเคลมจะมากกว่า 10% หรือไม่ เพราะหากเกินกว่านี้ถือว่า ไม่ปกติ !” นายพงศ์สุข ย้ำชัด พร้อมบอกด้วยว่า ไม่เชื่อจะมีอายุการใช้งานได้ถึง 3 ปีตามที่ท่านรัฐมนตรีประกาศ โดยเห็นว่าแค่ 1 ปีก็ถือว่ามากพอแล้ว เนื่องจากโน้ตบุ๊ค 1 ตัวราคาหลายหมื่นยังสามารถใช้ได้ไม่เกิน 2 ปีเอง
“ของทุกอย่างวันหนึ่งก็ต้องเก่า แต่สิ่งที่เก่าไม่ได้คือ ศูนย์กลางข้อมูลที่แท็บเล็ตทั้งประเทศต้องเข้าถึงได้ เพื่อทำให้เกิดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” พิธีกรชื่อดัง กล่าว พร้อมให้ข้อคิดทิ้งท้ายไว้ว่า แท็บเล็ตจะมีประโยชน์สูงสุด ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสเปกเครื่องเพียงอย่างเดียว ส่วนสำคัญอีกอย่างนั่นคือ เนื้อหาที่อยู่ข้างใน ที่จะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กจริงๆ หรือไม่
เรื่องนี้ นักวิชาการผู้ทำงานคลุกคลีอยู่กับเด็กมาเป็นเวลานานอย่าง ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย ผู้อำนวยการศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ ออกตัวเลยว่า ไม่เห็นด้วยกับการปูพรมแจกแท็บเล็ต 900,000 เครื่องของรัฐบาล
นอกจากจะสิ้นเปลืองแล้ว เธอยังมองว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาก่อนว่าคุ้มค่าหรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับเด็กและระบบการศึกษาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งแล้ว ควรต้องมีการออกแบบอย่างรอบคอบ
โดยเฉพาะการนำร่องเพียงแค่ 4 โรงเรียนดูจะน้อยเกินไป เพราะตามหลักการวิชาการต้องนำร่องโรงเรียนทั้งเขตชนบทและเขตในเมือง โรงเรียนเล็กและใหญ่ โรงเรียนที่มีครูและไม่มีครูที่รู้เรื่องเทคโนโลยี เพื่อให้เห็นช่องว่าง และอุดให้ทันเวลา อีกทั้งจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
"แท็บเล็ตจะมีประโยชน์มากถ้ามีการเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่อย่างอินเตอร์เน็ต" ดร.กนกกาญจน์ เปิดมุมมอง และว่า แต่ในบ้านเราอินเตอร์เน็ตยังมีรองรับไม่เพียงพอหรือบางแห่งแค่ห้องคอมพิวเตอร์ก็ยังมีปัญหา รวมถึงบางโรงเรียนไม่มีงบประมาณจ่ายค่าอินเตอร์เน็ต
ปัญหารายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ รัฐบาลอาจมองไม่เห็น จึงต้องมีการลองทำก่อน
ทั่วประเทศมีเด็กหลากหลาย ทั้งเด็กในเมือง เด็กในชนบท ที่มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เด็กที่พ่อแม่ทำไร่ทำนาไม่สมควรได้แท็บเล็ต แต่ที่ผอ.ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม นิด้า เป็นห่วง ก็คือเรื่องของความพร้อมที่ควรต้องมีนั้น มีอะไรบ้าง
"การแจกแท็บเล็ตให้เด็กนำกลับบ้าน ถ้าไม่มีการเตรียมตัวให้กับเด็กก็เหมือนเป็นการแจกของเล่นให้เอากลับไปเล่นที่บ้าน เพราะไม่แน่ใจว่าเด็กจะได้เรียนรู้จริง หรือเอาไปเล่น หรืออาจวางไว้แล้วไปวิ่งเล่น ปัญหาที่ตามมาคือ แล้วถ้าเครื่องเกิดสูญหายหรือ เด็กตัวโตมาแย่งไป ถามว่า เด็กอายุ 7 ขวบ ต้องถูกปรับหรือไม่"
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเครื่อง ถ้าเครื่องเกิดค้าง หรือใช้การไม่ได้ เด็ก ป.1 คงไม่สามารถที่จะซ่อมเอง แม้กระทั่งพ่อหรือแม่ในบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ไขได้
แล้วรัฐมีวิธีจัดการกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร? ....
ดร.กนการญจน์ตั้งข้อสังเกตให้เห็นภายในหลายมิติ พร้อมแสดงความเป็นห่วงกับสิ่งที่เด็ก 7 ขวบจะได้รับจากแท็บเล็ต
“สำหรับการพัฒนาการของเด็กแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องมาดูที่เนื้อหาวิชาการของแท็บเล็ตว่าจะสามารถเสริมสร้างพัฒนาการเด็กได้จริงหรือไม่ เพราะแท็บเล็ตไม่ได้มาแทนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นเพียงตัวช่วยเสริมและช่วยกระตุ้นการเรียนรู้เท่านั้น” ดร.กนกกาญจน์ เปิดประเด็นเพิ่มเติมถึงการใช้แท็บเล็ตสำหรับเด็ก พร้อมขยายความต่อว่า
...ของที่อยู่ในนั้น ต้องไม่ใช่ตำราเรียน ต้องเป็นตัวที่ให้เด็กได้เรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นเกมเพื่อการเรียนรู้ หรือว่าเป็นหนังสือแบบดิจิตอล ที่ไม่ใช่เป็นเพียงตัวอักษร ที่โหลดเป็นไฟล์พีดีเอฟ (PDF) ลงไปได้
โดยเฉพาะ สำหรับเด็กเล็กแล้วการจะกระตุ้นได้ ต้องมีการโต้ตอบ ได้ฝึกเรื่องการเขียน ไปพร้อมกับกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรวมเป็นหมู่ เพื่อให้เกิดแรงดึงดูดใจในการเรียน ที่สำคัญต้องได้ประโยชน์จริง เพราะแท็บเล็ตคือสิ่งพิเศษกว่าการเรียนการสอนแบบเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ฉะนั้นต้องมีคุณค่าบางอย่าง
ดังนั้น การแจกครั้งนี้จึงต้องไม่ใช้การแจกแล้วจบ ครูมีความสำคัญมาก ซึ่งการเรียนกับแท็บเล็ตไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนให้เด็กเก่งขึ้น
แต่ถ้าเด็กไม่เก่งขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ก็คงใช้ไม่ได้...
ดร.กนกกาญจน์ ตั้งคำถามฝากถึงครูทั่วประเทศ ได้รับการอบรมแบบทั่วถึงแล้วหรือยัง มีความพร้อมมากแค่ไหน และจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ครูคณิตศาสตร์ ครูสังคมศึกษา จะสอนผ่านแท็บเล็ตได้เหมือนกัน ฉะนั้น การเตรียมตัวครู เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เช่นนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่า ใครจะสอนใครกันแน่ เพราะที่ผ่านมาในหลายประเทศเริ่มต้นด้วยการแจกแท็บเล็ตให้ครูก่อน เพื่อให้เครื่องมือนี้เป็นผู้ช่วยครูก่อน แล้วจึงค่อยๆขยับไปสู่ตัวนักเรียน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ นั่นหมายถึง รัฐบาลนี้ได้ทำการปฏิรูปการศึกษา ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
แต่เอาตามจริงแล้ว แม้รัฐจะออกมาแสดงความพร้อมสำหรับโครงการนี้ แต่ก็เหมือนว่าจะยังช่องโหว่มากมายที่ถูกมองข้าม สาเหตุอาจมาจากการเร่งรัดในเวลาสั้นๆ มีโอกาสที่จะเสียหายมาก ในฐานะของประเทศไทน ซึ่งไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย
"เราอาจพูดได้ว่าแท็บเล็ตเครื่องละไม่กี่บาท แต่ในทางกลับกันเงินไม่กี่บาทเมื่อรวมกันแล้ว เงินมูลค่า 3 พันล้านสามารถนำไปสร้างห้องสมุดดีๆ ให้เด็กทุกจังหวัด หรือทุกอำเภอ ให้มีหนังสือทีเด็กจับต้องได้ และสามารถนำไปพัฒนาครู เพิ่มพลังใจให้กับครู มีหลักสูตรดีๆให้ครูสอน คอยให้ครูรักเด็ก ใส่ใจเด็ก สิ่งเหล่านี้อาจจะคุ้มค่ากว่าหรือเปล่า"
ฉะนั้น จึงได้แต่หวังว่า ความหวังดีของรัฐบาลในครั้งนี้ จะไม่ใช่ความใจดี ที่รัฐยอมทุ่มงบ 3 พันล้านเพื่อซื้อของเล่น 900,000 เครื่องแจกให้กับเด็ก ป.1 ไปเล่นกับแบบฟรีๆ
ตั้ง โอฬาร ประธานกก.บริหารนโยบายแท็บเล็ต
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติ แต่งตั้ง นายโอฬาร ไชยประวัติ เป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษา/กรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อธิบดีกรมบัญชีกลาง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นายอรพงศ์ เทียนเงิน นางอาภัททรา ศฤงคารินกุล นางสาวอรุณภรณ์ ลิ่มสกุล โดยมี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม นาวาอากาศเอก สุรพล นะวะมวัฒน์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 1) กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติ สำหรับนโยบายคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน เพื่อใช้ในการเรียนการสอนของนักเรียน รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และการให้บริการเครือข่ายไร้สายสนับสนุนการใช้งานคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ในโรงเรียนตามนโยบายของรัฐบาล 2) ดำเนินการบูรณาการงบประมาณและประสานการดำเนินงานร่วมกับส่วนราชการและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพี่อให้สามารถดำเนินงานตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อนำคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ไปใช้ในโรงเรียน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องไปสู่การปฏิบัติในระดับชาติ 3) วางกรอบนโยบายเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งกำกับและติดตามผลการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4) ขอความร่วมมือส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงาน รวมทั้งเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือเอกสารหลักฐานจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงาน เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ได้ 5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการฯ มอบหมาย 6) ดำเนินการอื่น ๆ ตามความจำเป็น เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด 7) ปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย |