“อัมมาร” ฉะระบบการศึกษาไทยขาดความรับผิด-รับชอบ ตั้งแต่ครูยันรมต.

ดร.อัมมาร ชี้ชัดงบพัฒนาการศึกษาสูง สวนทางคุณภาพนักเรียน 'อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดไม่เป็น' เสนอกระจายอำนาจการจัดหลักสูตรให้ร.ร.เพื่อสอดคล้องตลาดแรงงาน ฉะผลสอบโอเน็ตฉายผล “ครู” สอบตกค่อนปท.
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดสัมมนาประจำปี 2554 เรื่อง "ยกเครื่องการศึกษาไทย : สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง" ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ บี ชั้น 22 รร.เซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย กล่าวเปิดงาน
นายโฆสิต กล่าวว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการขยายโอกาสการศึกษาแก่คนชนบนและคนยากจน แต่สิ่งที่สวนทางกับปริมาณผู้เข้าศึกษา คือ คุณภาพการศึกษาที่ย่ำแย่ลง โดยสะท้อนมาจากความไม่พอใจของนายจ้าง ที่เห็นว่า บัณฑิตขาดทักษะ และไม่สามารถทำงานได้ตามความต้องการ ทั้งนี้ ผลการทดสอบของนักเรียนไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศมีแนวโน้มแย่ลงมาก อีกทั้ง มีปัญหาการซื้อขายใบปริญญา และปัญหาคุณภาพครู ซึ่งปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอาการป่วยขั้นวิกฤติของระบบการศึกษาไทย
นายโฆสิต กล่าวต่อว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในระยะกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเจริญก้าวหน้าไปได้มาก แต่ก็ล้วนมาจากปัจจัยการส่งออกสินค้าและบริการที่เน้นการใช้แรงงานราคาถูก แต่ละเลยการพัฒนาฝีมือ คุณภาพและเทคโนโลยี ทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ ได้ สภาพเช่นนี้ ความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยทศวรรษหน้าจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ที่จะทำให้เรามีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น และจะเป็นเครื่องมือสำคัญให้สามารถข้ามพ้นจากกับดักของประเทศรายได้ปานกลาง (Middle income trap) ได้
“แม้ว่าการปฏิรูปการศึกษารอบที่ผ่านมาจะยังไม่สัมฤทธิ์ผล แต่อย่างไรก็ยังมีความหวัง และมีความเชื่อว่า หากสังคมไทยมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ซึ่งผมเห็นว่า มี 2 แนวทางที่เป็นไปได้ คือ 1.การกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณ และการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อความล่องตัว และตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม และตลอดแรงงาน 2.มีความรับผิดชอบรับชอบ (Accountability) ที่จะต้องมีระบบการประเมิน ตรวจสอบและติดตามนักเรียนและผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งผู้บริหารอย่างโปร่งใส เปิดเผยได้ ไม่อย่างนั้นการกระจายอำนาจอาจส่งผลกระทบร้ายแรงมากกว่าผลดี”
ต่อจากนั้น ดร.อัมมาร สยามวาลา จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย นำเสนอบทความ ในหัวข้อ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ : สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ว่า สภาพของระบบการศึกษาไทยมีความซับซ้อน ไปตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานรัฐ มีแผนการศึกษาไร้ทิศทาง การปฏิรูปเปลี่ยนเพียงโครงสร้างบริหารและเป็นโครงสร้างการบริหารยังรวมศูนย์ โรงเรียน สนใจเพียงการถ่ายเทความรู้ ไม่ครอบคลุมการเรียนรู้ มีวิธีสอนล้าสมัยเน้นท่องจำ ตัวนักเรียน มุ่งเรียนแต่วิชาการ ไม่ได้เรียนคุณธรรม ส่วนภาคธุรกิจ มีค่านิยมดูถูกสายอาชีวะ
“หากถามว่า ประเทศไทยขาดแคลนงบประมาณหรือไม่ จะพบว่า เราลงทุนกับการศึกษาอย่างมหาศาล เห็นได้จากงบประมาณแผ่นดินในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาการลงทุนเพิ่มขึ้นเกินกว่า 2 เท่า ถ้าเทียบกับต่างประเทศ และมีงบประมาณรายจ่ายสำหรับการศึกษาสูงที่มากในเอเชีย ในขณะที่จะพบว่า นักเรียนไทยเรียนมา แต่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำ มีอัตราการเข้าเรียนสูงขึ้น แต่อัตราการคงอยู่ต่ำ และแม้จะมีนโยบายเรียนฟรี 12 ปีก็ยังมีปัญหา”
ดร.อัมมาร กล่าวถึงคะแนนการสอบวัดผลของนักเรียนไทย เช่น การสอบโอเน็ตมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด จนขณะนี้ต่ำกว่า 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่ฟ้องความไร้สัมฤทธิ์ผลอย่างมาก แต่กลับไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษาไทยก็มีมาก การจัดการของกระทรวงศึกษามี “โรงเรียนลูกรัก” และมีการกระจุกตัวของโรงเรียนดีๆ อยู่ในบางจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ
“การสอบ เป็นการสอบผู้คนในวงการศึกษา ไม่ใช่สอบเด็ก ดังนั้น การสอบโอเน็ตที่ตกกันกว่าครึ่งค่อนประเทศ ผู้ที่สอบตกจึงต้องเป็น “ครูผู้สอน” ก่อนหน้านี้มีการเสนอแนวทางในการปฏิรูปศึกษาค่อนข้างหลากหลาย แต่ก็มีการถกเถียงกันมากด้วยว่า การปฏิรูปการศึกษาเป็นไปไม่ได้ในชาตินี้ ซึ่งผมเห็นว่าแนวคิดทางทฤษฎีการยกระดับคุณภาพการศึกษาสามารถทำได้ เช่น ในประเทศฮ่องกง เยอรมนี และลัตเวีย สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
ดร.อัมมาร กล่าวด้วยว่า ระบบการศึกษาไม่ได้ขาดทั้งเงิน หรือเวลาเรียน แต่ขาดการสร้าง “ความรับผิดชอบ” (Accountability) ของระบบการศึกษาตลอดทุกขั้นตอนตั้งแต่ครูผู้สอนไปจนถึงรัฐมนตรี ฉะนั้น ในขั้นตอนการปฏิบัติ คือ ต้องทำความเข้าใจขอบเขตงานของทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบ ว่ามีอำนาจหน้าที่ใด และต้องรับผิดชอบต่อใครบ้าง รวมทั้งต้อง วัดผลสัมฤทธิ์ของงานที่ทำไป และต้องเป็นการวัดที่โปร่งใส มีการเปิดเผยผลการวัด ซึ่งผลงานต้องส่งผลกระทบด้านบวกหรือลบต่อผู้ทำงาน เรียกได้ว่าต้องมีการ “รับผิด” หรือ “รับชอบ”
“การประเมินของครูผู้สอน หรือผู้อำนวยการจะต้องผูกกับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนด้วย จะเห็นได้ว่าปัญหาการศึกษาเป็นปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนมาก ดังนั้น “ความรับผิดชอบ” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผมเห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถจับต้องได้ และมีความเป็นรูปธรรมพอสมควร ที่จะทำให้ประสิทธิภาพโรงเรียนดีขึ้นจาก 73% เป็น 78% คะแนนการทดสอบทางวิชาการของนักเรียนระดับนานาชาติ (PISA) จะเพิ่มขึ้นจาก 421 เป็น 444 คะแนน และอันดับการศึกษาของไทยจะสูงขึ้นจาก 46 เป็น 41 แต่ไม่ได้หมายความว่า หากปรับการบรอหารจัดการตามข้อเสนอดังกล่าวนี้แล้ว จะสามารถแก้ปัญหาการศึกษาได้ทั้งหมด”
ในช่วงท้าย ดร.อัมมาร ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวถึงนโยบายแจกแท็บแลตของกระทรวงศึกษาธิการว่า เป็นเทคนิคการสอนอย่างหนึ่ง ที่หากสามารถนำไปใช้อย่างดีก็อาจจะเป็นประโยชน์ได้ และอาจจะช่วยให้เด็กเรียนด้วยตนเองได้ หากเรามีซอฟท์แวร์ดีๆ ไม่ว่าจะสอนอะไรก็ตามต้องมีการตรวจสอบและมีการวัดผล หากจะใช้แท็บแลตก็ต้องวัดผลได้ด้วยว่า มีประโยชน์จริงหรือไม่ เด็กได้ความรู้จริงหรือไม่
“ในส่วนนโยบายการให้เงินบริจาค เพื่อให้เด็กมีที่นั่งเรียนนั้น สอดคล้องกับที่ผมกล่าวมาข้างต้นว่า ขณะนี้โรงเรียนได้เงินจากงบประมาณมากพอแล้วไม่จำเป็นต้องได้รับอีก แต่การจะให้เงินเสริม หรือกวดวิชาก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต้องการจะให้ลูกแข่งขันได้ และเพื่อให้ลูกมีภาษีได้เปรียบมากกว่าผู้อื่นเท่านั้น”
