ดึงดันสร้างแก่งเสือเต้นอย่างเดียวไม่ได้ "ปราโมทย์" ชี้ผิดรธน.
กรรมการ กยน. ระบุ สร้างแก่งเสือเต้นต้องมีการศึกษาแบบบูรณาการหลายมิติ ไม่เช่นนั้นจะดูแลไม่ได้และเป็นปัญหา แนะผู้ว่าฯ รับมอบงานปลูกป่า-แก้มลิงแล้ว ต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรม
นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน และกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวกับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารนโยบายสาธารณะ” ถึงเรื่องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นเป็นการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ และเป็นกระบวนการดักน้ำอุทกภัยไว้ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาแบบบูรณาการทุกมิติ ไม่เช่นนั้นจะดูแลไม่ได้ และจะเป็นปัญหา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีเอกสารการศึกษาที่จะตอบว่า สามารถป้องกันน้ำท่วมได้เท่าไหร่
“การศึกษาที่ผ่านมา ก็เป็นแบบแยกส่วน แต่ไม่มีคำตอบออกมาชัดเจน การจะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นต้องมีการศึกษาและบูรณาการทุกมิติ ทั้งด้านสังคมและภูมิสังคม เมื่อไม่มีเอกสารที่ชัดเจนเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่แนวคิด ซึ่งมีส่วนถูกตรงที่ว่าดักน้ำได้ส่วนหนึ่งในพื้นที่ 3 พันตารางกิโลเมตร ประมาณ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร และยังเหลืออีก 2 หมื่นตารางกิโลเมตรที่แก่งเสือเต้นดักไม่ได้ เพราะเป็นพื้นที่ต่ำกว่า”
นายปราโมทย์ กล่าวถึงแนวคิดการจัดการด้านภูมิสังคม ที่ยังออกมาไม่ชัดเจน ทั้งในส่วนของการจัดการคน ว่าจะมีการจัดสรรพื้นที่ให้ไปอยู่ตรงไหน และคนในบริเวณนั้นจะยอมหรือไม่ก็ยังไม่มีคำตอบ รวมถึงเรื่องของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ฉะนั้น รัฐบาลจะดึงดันทำอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจะผิดรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ นายปราโมทย์ ยังกล่าวถึงเรื่องการจัดการฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธารว่า การขับเคลื่อนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เข้ามามีส่วนร่วมในการคิดและกำหนดพื้นที่ เป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่เคยมีมาก่อน แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีการปฏิบัติงานให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะการจะมอบหมายงานนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย สิ่งสำคัญอยู่ที่วิธีการ การจัดการมากกว่า เนื่องจากการปลูกป่าเป็นเรื่องที่ทำกันมามากมาย ะ แต่ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์เพราะมีความสลับซับซ้อน
“ส่วนของการจะทำแก้มลิงในพื้นที่เขตจังหวัดต่างๆ นั้นยังสงสัยว่าจะได้ความชัดเจนมามากน้อยแค่ไหน เพราะการกำหนดพื้นที่เป็นแก้มลิงนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะเป็นเรื่องเทคนิครวมถึงการจัดการด้านภูมิสังคม ต้องการทีมงานเพื่อสำรวจและศึกษา ทำงานประสานกับหลายๆหน่วยที่เกี่ยวข้องประสานร่วมกัน ให้ออกมาเป็นรูปธรรม” นายปราโมทย์ กล่าวและว่า แก้มลิงเป็นที่เก็บน้ำหลาก เก็บน้ำอุทกภัย ซึ่งมีกระบวนการอีกอย่างคือ น้ำเข้าไปได้และออกได้ ยุบแห้งได้
ส่วนเรื่องของการพร่องน้ำในเขื่อน ให้เหลือ 45% นั้น กรรมการ กยน. กล่าวด้วยว่า ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล และการปล่อยน้ำออกมาวันละ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะต้องใช้ในการทำนาปรัง และการเกษตร ทั้งนี้ แผนสามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ ต้องเฝ้าติดตามดูสถานการณ์ต่อไป
