คุณภาพการศึกษาไทยล้มเหลว ดร.สมเกียรติ ยันไม่ได้ขาดงบฯ หรือเกิดจากครูเงินเดือนน้อย
ดร.นิพนธ์ ชี้สถาบันการศึกษาขาดความรับผิดชอบต่อการมีงานทำ จนบัณฑิตกลายเป็นโจรเสื้อขาว เรียนต้องกู้ ว่างงานก็ให้พ่อแม่เลี้ยง ด้านดร.สมเกียรติ ย้ำชัด การศึกษาไทยเป็นระบบที่ไม่มีใครรับผิดชอบ ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจคิดแก้ปัญหา
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2554 เรื่อง "ยกเครื่องการศึกษาไทย :สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง" ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งภายในงานมีการนำเสนอบทความ 4 หัวข้อ คือ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่:สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง โดยดร.อัมมาร สยามวาลา และดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ , การสร้างความเชื่อมโยงของการศึกษากับตลาดแรงงาน โดยดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ,ระบบการบริหารและการเงิน เพื่อสร้างความรับผิดชอบในการจัดการศึกษา โดยดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และ โรงเรียนทางเลือกกับทางเลือกในการศึกษาของประชาชน โดยอาจารย์ปกป้อง จันวิทย์
จี้เปิดข้อมูลผลสัมฤทธิ์ นร.ต่อสาธารณะ
ดร.ดิลกะ กล่าวถึงปัญหาหลักของประเทศไทยที่ต้องเร่งแก้ไข คือการยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง และกำลังประสบปัญหาอย่างรุนแรง ดังสะท้อนให้เห็นได้จากคะแนนสอบที่ตกต่ำของเด็กไทยในการทดสอบระดับนานาชาติ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาจะสำเร็จได้ จึงต้องเริ่มต้นที่ข้อมูล มีระบบการสอบไล่มาตรฐานที่วัดความสามารถของนักเรียนได้จริงในหลายระดับชั้น ผลการสอบต้องมีความหมายสำหรับนักเรียนและครู และจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส อีกทั้งเพื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบโรงเรียนสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้ปกครองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
"ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีกลไกให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการ ประเมินและให้คุณให้โทษต่อครูและผู้บริหารโรงเรียน โดยผูกการประเมินกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนเป็นหลัก ซึ่งเมื่อโรงเรียนมีการตรวจสอบและกลไกความรับผิดชอบที่ดีแล้ว การปฏิรูปการกระจายอำนาจบริหารสู่โรงเรียน จึงจะส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพวิชาการของนักเรียนให้เพิ่มขึ้นได้อย่างแท้ จริง"
คุณภาพคน มีผลต่อ GDP
ขณะที่ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า " คุณภาพคน" เป็น ต้นตอของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการกินดีอยู่ดีอย่างทั่วถึง ซึ่งผลการศึกษาการสร้างความเชื่อมโยงของการศึกษากับตลาดแรงงาน พบว่า ส่วนต่างค่าจ้าง (wage premium) ระหว่างคนจบมหาวิทยาลัย กับมัธยมปลาย มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อการเรียนมหาวิทยาลัยให้ผลตอบแทนสูงกว่า การทำงานหลังจบมัธยมปลาย หรือการเรียนอาชีวศึกษา คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ จึงมุ่งสู่รั้วมหาวิทยาลัย
"การเพิ่มจำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ขณะที่สถาบันการศึกษาหลายแห่งยังขาดความพร้อมทำให้แรงงานที่จบมหาวิทยาลัยมี คุณภาพแตกต่างกันมากขึ้น และอาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้ผู้จบอุดมศึกษาหลายสาขา มีอัตราการว่างงานสูง ทั้งๆ ที่ตลาดแรงงาน ยังมีความต้องการแรงงาน " ดร.นิพนธ์ กล่าว และว่า การที่ธุรกิจขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมบางประเภทที่ประสบปัญหาไม่สามารถคัดเลือก แรงงานที่มีคุณภาพและทักษะ ทำให้ต้องเข้ามาจัดการศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งพบว่า สาขาที่นิยมได้แก่ วิศวกรรมและการบริหารธุรกิจ ทั้งๆ ที่เป็นสาขาที่ผลิตบัณฑิตจำนวนมากอยู่แล้ว
ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า จากการสำรวจโดยสถาบันเพิ่มผลผลิต และธนาคารโลก ปี 2554 มีการขาดแคลนทักษะแรงงานระดับสูงในอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งส่วนใหญ่อ่อนทักษะเรื่องไอที ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
"สถาบันการศึกษาไม่เอาใจใส่ และไม่ต้องรับผิดชอบต่อการมีงานทำของคนจบการศึกษา ขณะที่หน่วยงานกำกับสถาบันการศึกษาก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อนักศึกษาและผู้ ปกครอง เราพบว่า นักศึกษาเป็นโจรเสื้อขาว ตอนเรียนต้องกู้ ตอนจบว่างงานต้องให้พ่อแม่เลี้ยง"
จบ ปวส.ว่างงานกว่า 2 หมื่น
ส่วนดร.ยงยุทธ กล่าวว่า ปี 2546 จำนวนมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน รวมกันมีแค่ 78 แห่ง มาถึงปี 2553 มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 148 แห่ง(ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการยกระดับวิทยาลัยครู เป็นมหาวิทยาลัยราชภัฎ) เราพบว่า การขยายโอกาสทางการศึกษาแบบนี้ ทำให้เกิดปัญหาความไม่สมดุล อุปสงค์กระจุก อุปทานกระจาย
"ผลการศึกษาพบว่า แม้ตลาดแรงงานจะมีความต้องการคนจบ ปวส. สูง แต่ก็ยังมีผู้ว่างงานกว่า 2 หมื่นคน ปริญญาตรี ว่างงานเกือบ 1 แสนคน ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนเข้ามาช่วยเปิดสถาบันการศึกษา เพราะเขาไม่ได้คนตามความต้องการดังนั้น การปฏิรูปการศึกษารอบ 2 จึงเน้นเรื่องการพัฒนาสมรรถนะหรือคุณภาพของผู้เรียนเป็นสำคัญ "
ระบบการศึกษาไทย ไร้ผู้รับผิดชอบ-ไร้ความรับผิดชอบ
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงปัญหาของคุณภาพการศึกษาไทย ไม่ได้เกิดจากการขาดงบประมาณ เพราะงบการศึกษาไทยสูงขึ้นจาก 1.2 แสนล้านบาท ในปี 2547 เป็น 2.5 แสนล้านบาทในปี 2553 และไม่ใช่เกิดจากการที่ครูมีเงินเดือนต่ำอีกต่อไป ด้วยเงินเดือนครูเพิ่มขึ้นจาก 1.5 หมื่นบาทในปี 2544 เป็น 2.5 หมื่นบาทในปี 2553 (ที่มา การสำรวจภาวะแรงงาน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ)
"เงินเดือนครูเพิ่มขึ้นมาก หลังจากมีการออกพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยะฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูปี 2547 ซึ่งตัวเลข 2.5 หมื่นบาท ก็ยังไม่ใช่ตัวเลขปัจจุบัน เพราะปี 2554 มีการปรับเพิ่มอีก 2 ครั้ง ครั้งแรก 8% และ 5% โดยเฉลี่ย ฉะนั้นเงินเดือนครูใกล้ 3 หมื่นบาท คำถามเรื่องคุณภาพการศึกษานั้น เป็นผลมาจากการที่ค่าตอบแทนครูต่ำ จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริง"
เมื่องบประมาณ เงินเดือนครู ไม่ใช่สาเหตุของปัญหา ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า ดังนั้น ปัญหาเกิดจากที่ระบบการศึกษาไทย เป็นระบบที่ไม่มีใครรับผิดชอบ ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจแก้ไขปัญหาการศึกษา ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบการศึกษาไทย มีสายความรับผิดชอบยาว ไล่ตั้งแต่พ่อแม่ผู้ปกครอง นักการเมือง ข้าราชการ โรงเรียนกำกับดูแล และครู ซึ่งทั้งหมดมีโอกาสขาดได้แต่ละช่วง
"เมื่อสายความรับผิดชอบยาว ทำให้ระบบการศึกษาไทย ไร้ผู้รับผิดชอบและไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งในต่างประเทศมีการพิสูจน์ไว้ชัดเจนว่า การมีความรับผิดชอบทางการศึกษานั้น ช่วยเพิ่มสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน"
การเรียนการสอน รร.ทางเลือกเต็มไปด้วยฐานคิด-ปรัชญา
ขณะที่อาจารย์ปกป้อง กล่าวถึงการเรียนการสอนของโรงเรียนทางเลือก ( alternative school) มีองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป คือ นวัตกรรมการเรียนการสอน (Innovation) ซึ่ง จากการศึกษาโรงเรียนทางเลือก 14 แห่ง จาก 38 แห่ง มีนวัตกรรมการเรียนการสอน เต็มไปด้วยฐานคิดและปรัชญา เอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ ความหลากหลายของการศึกษาดังกล่าวเปิดพื้นที่ให้โรงเรียนทางเลือกสามารถทดลอง และผลิตวิธีการเรียนการสอนใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การปฏิรูปการศึกษาไทยต้องปรับปรุงกลไกรัฐไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งและ การดำเนินการของโรงเรียนทางเลือก, พัฒนาระบบการหารายได้จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้กว้างขวางขึ้น เช่น การใช้ประโยชน์จากงบ CSR ของบริษัทเอกชน การระดมเงินสนับสนุนจากผู้ปกครอง และสร้างระบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนของโรงเรียน ทางเลือกสู่โรงเรียนกระแสหลักในระบบ เป็นต้น
