ดร.ปริญญา ชี้ข้อกฎหมาย รถฉุกเฉิน-กู้ชีพ ฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุ
รถฉุกเฉิน รถกู้ชีพ รถพยาบาลได้สิทธิยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร พบผ่าไฟแดงเป็นที่มาของอุบัติเหตุพุ่ง ด้านผู้ช่วยเลขาธิการสพฉ.ระบุ ปี 2559 รถพยาบาลเกิดอุบัติเหตุ 42 ครั้ง แบ่ง 30 ครั้ง เป็นรถที่ส่งจากโรงพยาบาลไปยังอีกโรงพยาบาล อีก 12 ครั้ง เป็นรถที่ไปรับคนไข้จากที่เกิดเหตุไปส่งยังโรงพยาบาล ขณะที่ร่วมกตัญญู เล็งประกาศห้ามฝ่าไฟแดง ยกเว้นกรณีเร่งด่วนประสานกับตำรวจจราจร

วันที่ 15 มิ.ย. 60 นพ.สัญชัย ชาสมบัติ ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวในเวทีเสวนา “ผ่าไฟแดงได้ไหม เร็วอีกนิดแล้วไง? ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หมดอายุความ” ณ ห้องประชุมวรรณไวทยากร ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยให้ข้อมูลในปี 2559 ว่า มีรถพยาบาลฉุกเฉิน ออกปฏิบัติการโดยมีการเรียกผ่าน สายด่วน 1669 จำนวน 1.5 ล้านครั้งต่อปี หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 แสนครั้ง แบ่งลักษณะของคนไข้เป็น 2 ประเภท คือ 1.ฉุกเฉินวิกฤตเป็นชนิดเร่งด่วน (สีแดง) 80% 2.เป็นชนิดไม่เร่งด่วน (สีเหลือง) 20% ชนิดของรถที่ออกไปรับคนไข้ 60% เป็นรถของฝั่งอาสาสมัคร และอีก40% เป็นรถของทางโรงพยาบาล ขณะที่กลุ่มอาสาสมัครที่ขึ้นทะเบียนกับทางสถาบันฯ มีจำนวน 1.3 แสนคนจากทั่วประเทศ
ขณะที่แนวโน้มจํานวนรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่ขึ้นทะเบียน ปี 2555-2558 พบว่า จำนวนยานพาหนะทุกประเภทมีการขึ้นทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยยานพาหนะที่มีการขึ้นทะเบียนมากที่สุด คือ รถกระบะ ส่วนรถตู้จากปี 2555 อยู่ที่ 5,818 คัน เพิ่มขึ้นเป็น 6,570 คันในปี 2558
นพ.สัญชัย กล่าวถึงอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่มาจากรถพยาบาลหรือกู้ภัยในรอบ 2559 มีจำนวน 42 ครั้ง โดยแบ่ง 30 ครั้งเป็นรถที่ส่งจากโรงพยาบาลไปยังอีกโรงพยาบาล อีก 12 ครั้ง เป็นรถที่ไปรับคนไข้จากที่เกิดเหตุไปส่งยังโรงพยาบาล
"ถ้าการสื่อสารเพื่อเปิดสัญญาณไฟล่วงหน้าสำหรับรถฉุกเฉินทำได้สำเร็จ เชื่อว่า จะยกระดับความปลอดภัยได้จริงและทันที"
ขณะที่ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงตามข้อกฎหมาย รถฉุกเฉิน รถดับเพลิง หรือรถพยาบาล จะได้รับสิทธิในข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร แต่หากข้อยกเว้นนั้น รวมถึงการผ่าไฟแดง ที่ทำให้รถกู้ภัยนำคนไข้ส่งถึงโรงพยาบาล และเป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุในทางกฎหมายมีวีแก้ 2 ทาง คือ 1.ตัดปัญญาโดยการไม่ให้ผ่าไฟแดง หรือ 2.เปลี่ยนสัญญาจราจร ขอเป็นไฟเขียวในเส้นทางที่รถกู้ภัยวิ่งมาได้
“รถฉุกเฉิน รถช่วยชีวิต รถกู้ชีพ แต่บ่อยครั้งรถช่วยชีวิตแทนที่จะช่วยชีวิต กลับทำให้เกิดการเสียชีวิต เมื่อมีการฝ่าไฟแดง แล้วไปชนกับรถที่วิ่งมาอีกทางหนึ่ง หรือไปชนกับจักรยาน หรือคนข้ามถนนก็มี”
ส่วนรศ.ดร.พนิต ภู่จินดา ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง โครงสร้างพื้นฐานในมิติของการออกแบบของระบบคมนาคมของกรุงเทพมหานคร เรียกกว่า มีปัญหาอย่างหนัก เกณฑ์มหานครของโลกต้องมีถนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งเมือง ซึ่งกรุงเทพมหานครมีเพียงแค่ 3.76% หากรวมทางด่วนแล้วมีเพียง 8% เท่านั้น ผลที่ตามมาหากถนนไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันการจัดการตัวสัญญาไฟ ให้มีการผ่านศูนย์กลางก็ถือว่า เป็นเรื่องยากของกรุงเทพมหานคร
ด้านตัวแทนมูลนิธิร่วมกตัญญู กล่าวถึงการแจ้งจากศูนย์ใหญ่ไปยังกลุ่มอาสาสมัครต่างๆ ไม่ให้มีการผ่าไฟแดงอีกนั้น กำหนดว่า จะมีการประกาศในวัน 16 มิถุนายน ช่วงเช้า แต่หากกรณีอาการคนไข้อยู่ในระดับเร่งด่วนจะมีการประสานงานไปยังเจ้าหน้าตำรวจเพื่อให้เปลี่ยนสัญญาจราจรในช่องทางการวิ่งเป็นไฟเขียว และปิดการจราจรในช่องทางอื่น อย่างไรก็ตามการผ่าไฟแดงของรถฉุกเฉินเป็นเพียงการยกเว้นไม่ให้โดนปรับจากทางเจ้าหน้าเท่านั้น หากในขณะรถฉุกเฉินกำลังออกปฏิบัติหน้าที่แล้วเกิดอุบัติเหตุ ก็ยังคงกระทำผิดตามกฎจราจรแล้วดำเนินคดีตามกฎหมายไปตามปกติ
