อนาคต "ภัยพิบัติ" จะถี่-เข้มข้น-แปลกขึ้น “พิจิตต” เน้นย้ำการรับมือระดับชุมชนสำคัญ
"การที่หน่วยงานราชการมัวแต่ทะเลาะ
กลัวจะไม่ได้คะแนนเสียง เป็นความคิดของคนที่คิดสั้นๆ คิดเตี้ย ไม่กว้างไกล
และคิดอย่างเดียวว่าจะเอาตัวเองให้รอด"
การรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่อภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นที่แน่ชัดเหลือเกินว่า ภัยพิบัติในอนาคต จะเกิดอย่างถี่ขึ้น เข้มข้นขึ้น และมีรูปแบบแปลกขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาอย่างชัดเจน...
ฉะนั้น ใครที่คิดว่า... "ภัยพิบัติ" เป็นเรื่องที่นานๆ จะมาที หรือภัยมาทีก็แก้กันที ไม่ได้แล้ว
ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ ถอดความปาฐกถาพิเศษ ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) เรื่อง "การรับมือภัยพิบัติด้วยชุมชนท้องถิ่น" จากงานฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่น สู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1-3 มีนาคม 2555 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
"ข้อเท็จจริงประการแรก อันเป็นที่มาของการรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชน เนื่องจากชุมชนท้องถิ่น คือ กลุ่มแรกที่ถูกกระทบกับจากภัยพิบัติ ทั้งพื้นที่เชิงเขา ริมน้ำ ริมทะเล ยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิ 24 ชั่วโมงแรกที่ภัยมา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนหรือตำบล ล้วนต้องรอความช่วยเหลือจากส่วนกลางซึ่งยังมาไม่ถึง
ข้อเท็จจริงประการต่อมา คนในชุมชนมีความรู้เรื่องการจัดการภัยพิบัติมากกว่าคนในส่วนกลาง รู้เส้นทางและความเสี่ยงภัย มากกว่าคนในกระทรวงต่างๆ ที่นั่งอยู่ในกรุงเทพ
อย่างไรก็ตามแม้คนในชุมชนจะมีองค์ความรู้มากกว่าหน่วยงานส่วนกลาง แต่สำหรับภัยพิบัติในอนาคตจำเป็นต้องเรียนรู้ ขวนขวายเพิ่มขึ้น ความรู้ดั้งเดิมในชุมชนไม่เพียงพอแล้วกับภัยพิบัติที่จะเกิดถี่ขึ้นและแรงขึ้นดังที่กล่าวมา"
ปีที่ 2554 มีภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วโลกสารพัดรูปแบบ ทั้งทางธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยาและอุทกภัย ในแต่ละซีกโลกก็มีจำนวนครั้งที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างกันมากนัก ประมาณ 60 : 40 โดยทางฝั่งเอเชียมากกว่าตะวันตกอยู่ 20% แต่ที่ต่างกันมากที่สุด คือ "ความเสียหาย" ไม่ว่าจะเป็นชีวิต ทรัพย์หรือความสูญเสียทางเศรษฐกิจ นั่นเพราะ ประเทศทางฝั่งเอเชียเป็นประเทศที่ไม่คุ้นเคยกับภัยพิบัติ และเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนชาวบ้านในการป้องกันตนเองไม่เพียงพอ
ภัยพิบัติที่ผิดปกติ คาดเดาได้ยากขึ้น
ผมคิดว่า แนวโน้มในการเกิดภัยพิบัติต่อจากนี้จะคาดการณ์ได้ยาก ต่อไปนี้หน้าฝนจะไม่ใช่หน้าฝนอีกต่อไป ฝนจะตกไล่ไปเรื่อยๆ และจะเป็นลักษณะฝนตกสลับกับแล้งจัด แม้การพยากรณ์จะมีเทคโนโลยี หรือวิธีการสูงขึ้น แต่ความไม่ปกติของภูมิอากาศทำให้คาดการณ์ระยะยาวไม่ได้
แม้แต่หน่วยงานที่บริหารน้ำในเขื่อนก็จะทำได้อย่างลำบากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะปล่อยน้ำ หรือเก็บรักษาน้ำในช่วงใดดี
"บทเรียนสำคัญ" ที่ผมคิดว่าเราต้องศึกษาและยึดเป็นแนวทาง คือ
1.แก้ไขความรู้สึกที่ว่า "น้ำเป็นภัย" ความรู้สึกดังกล่าวเป็นความเป็นจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะในสายตาเกษตรกรรม น้ำมีคุณค่ามหาศาล อย่าเป็นโรคกลัวน้ำ ต้องรู้จักวิธีการปฏิบัติต่อน้ำ และเคารพในสิ่งที่น้ำจะมาก่อประโยชน์ให้เรา
"ผมว่าเราไม่ควรรีบเอาปล่อยน้ำจากเขื่อนลงสู่ทะเล เพราะถึงเวลาแล้งจะไม่มีน้ำใช้"
"แหล่งเก็บน้ำตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ศึกษาว่าจะจัดหาแก้มลิงธรรมชาติ 2 ล้านไร่นั้น ต้องพิจารณาให้ดี เพราะแม้จะเป็นการถ่วงน้ำจากภาคเหนือได้จริง แต่จะทำให้สูญเสียพื้นที่เพาะปลูกไปส่วนหนึ่ง
ดังนั้น ราชการต้องจัดหาพื้นที่ดอนชดเชยให้เกษตรกร และกรมชลประทานต้องวิริยะอุตสาหะส่งน้ำขึ้นไปยังพื้นที่ดอน เพื่อชดเชยผลผลิตทางการเกษตร เพราะพื้นที่ 2 ล้านไร่ไม่ใช่น้อย"
ผมไม่ได้เถียงในหลักการของแก้มลิง หรือการถ่วงน้ำ แต่จะต้องคำนึงถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วย
2.การประสานงานของหน่วยงานราชการ เพื่อรับมือกับภัยพิบัติ เป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุด เพราะหากมัวแต่ทะเลาะเบาะแว้ง กลัวว่า พรรคนั้นจะได้คะแนนเสียง ตนจะไม่ได้คะแนนเสียงไม่ได้แล้ว ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องของคนที่คิดสั้นๆ คิดเตี้ย ไม่กว้างไกล และคิดอย่างเดียวว่าจะเอาตัวเองให้รอด
ทะเลาะ เถียงกัน บทเรียนที่เจ็บปวดสุด
3.ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องหาคะแนนนิยม บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดจากการจัดการน้ำท่วมที่ผ่านมา คือ เราทะเลาะกัน เถียงกัน เช่น การเปิด-ปิดประตูน้ำ ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือบทเรียนสำคัญ ที่ชาวบ้านต้องร่วมกันเปล่งเสียงให้ดังๆ ว่า
"อย่าเอาความทุกข์ ของเรามาเป็นประเด็นในการหาเสียงเป็นอันขาด" จะผู้ว่ากทม. อธิบดีคนใด กระทั่งนายกรัฐมนตรี หรือนักการเมืองทั้งหลาย ต้องหยุดเอาความทุกข์ของประชาชนมาหาเสียง แล้วหันหน้ามาร่วมมือกันแก้ไข
"ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ที่ฝ่ายค้านไม่ได้มานั่งค้านว่านั่นผิด-นี่ถูก และฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่มานั่งด่าฝ่ายค้าน เขาตั้งให้เป็นคณะมนตรีสงครามแห่งอังกฤษ เพื่อให้ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมาช่วยกันคิด และหาทางออก ไม่ใช่คิดตำหนิติเตียนกัน
... บ้านเราอาจไม่ต้องถึงเป็นคณะมนตรีน้ำท่วม แต่ร่วมมือกันทำ แนะนำกัน ให้กำลังใจกันและช่วยสนับสนุนกัน"
4.สังคมต้องเรียนรู้ และเตรียมองค์ความรู้ให้ตนเองเรื่องการจัดการภัยพิบัติ
ยกเหตุการณ์สึนามิ ชาวบ้านจำนวนหนึ่งคิดว่า สึนามิไม่น่าเกิดขึ้นอีก เพราะตนเองเกิดมา 70 ปีเพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก และหากจะเกิดขึ้นอีกก็คงเป็นอีก 70-80 ปีข้างหน้า ผมว่า...ชาวบ้านคิดแบบนี้ไม่ได้ ความคิดเช่นนี้จะทำให้วัฒนธรรมการรับรู้ และเตรียมการจางหายไป เช่นเดียวกับการเตรียมรับมือกับภัยข้างหน้า
5.จัดการกับภัยพิบัติล่วงหน้า ไม่ใช่จัดการเมื่อภัยมา การรับมือหรือเตรียมการจัดการภัยพิบัติ ต้องเกิดขึ้นทันที ณ นาทีที่ภัยเก่าผ่านพ้นไป โดยเฉพาะขณะนี้ เราเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้ำจะเยือนแล้ว ต้องกลับมาคิดว่าเราเตรียมความพร้อมอะไรไว้บ้าง
ทั้งนี้ บทเรียนสำคัญอีกประการ ที่รัฐบาลควรทำ คือ การสำรวจสภาพภูมิศาสตร์ จุดแข็งและจุดอ่อนในแต่ละท้องที่ สำรวจทิศทางน้ำ ประเมินความเสี่ยงแต่ละทิศทางละการวัดความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่มาเปิดเผยแก่ชาวบ้านและชุมชนรับรู้ อย่าปิดชาวบ้าน อย่าบอกชาวบ้านว่า ไม่เป็นไร-น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ-เอาอยู่ บอกแบบนี้ไม่ได้ ต้องให้ชาวบ้านรับรู้ข้อมูลและวิเคราะห์เอง
ผมมองว่าราชการต้องงานอย่างต่อเนื่อง 365 วันต่อปี ไม่ใช่ทำงานเฉพาะฤดูฝน เช่นเดียวกับ สำนักระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร ก็ไม่ใช่ว่าจะมาขุดลอกท่อหลังฝนตก ควรทำตั้งแต่น้ำท่วมหายไปแล้ว เพราะกทม. 3,000 กิโลเมตร จะทันหรือไม่ก่อนฝนจะมา
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ หรือกรมชลประทาน ต้องทำงานทั้งปี
การคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาวต้องทำอย่างสม่ำเสมอ มีระบบเตือนภัยสมัยใหม่ ที่ไม่ใช่ระบบกดกริ่งให้ประชาชนวิ่งหนีอย่างเดียว ต้องนำข้อมูลให้ชาวบ้าน-ผู้นำชุมชน ได้รับทราบล่วงหน้า เป็นเดือนหรืออาทิตย์ นั่นเป็นการเตือนภัยที่ดีที่สุด
เลิกเตือนภัยแบบเดิมๆ
"การเตือนภัยแบบเดิมๆ เช่น พายุรุนแรง คลื่นสูง ห้ามออกเรือ เหล่านี้ล้วนเป็นคำเตือนที่ฟังดูแล้วรู้สึกว่าธรรมดา ชาวบ้านไม่ได้ทำอะไร และอาจไม่เชื่อ แต่หากมีการให้ความรู้ล่วงหน้า ให้เห็นทิศทางของพายุ ทิศทางน้ำ ชาวบ้านจะรู้สึกว่า เมื่อถึงการเตือนภัยครั้งสุดท้าย หรือเมื่อกดกริ่งแล้ว จะต้องวิ่ง อพยพ ขนของหรือเตรียมการอย่างไร"
เมื่อกล่าวถึงอำนาจในการตัดสินใจและสั่งการ ผมว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน่าจะมีส่วนในการบัญชาการด้วย คนกรุงเทพฯ อย่ามานั่งบัญชาการในชุมชน ระบบบัญชาการท้องถิ่นก็ควรจะเป็นคนท้องถิ่นบัญชาการ โดยที่หน่วยงานราชการส่วนกลางคอยเติมความรู้ วิธีการบริหาร และการสั่งการก่อนที่จะเกิดภัย
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องสำเหนียกไว้แล้วว่า อย่าเอานักการเมืองมาเป็นผู้บัญชาการระดับประเทศ ต้องเอาคนที่ทำมาตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน หรือ 365 วันมาทำงาน นั่นคือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยควรเข้ามาบัญชาการในระดับประเทศ
การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐบาล และท้องถิ่นเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องสัมพันธ์ และใกล้ชิดกัน เช่นเดียวกับความร่วมมือของท้องถิ่นใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ต่างท้องถิ่น ก็ต่างคนต่างกั้น อย่างนั้นน้ำไม่รู้จะไปทางไหน ซึ่งต้องไม่ลืมว่า... ลมพายุ ดินถล่ม น้ำท่วม หรือทุกภัยพิบัติไม่ได้เลือกพรหมแดน ไมได้เลือกตำบล หมู่บ้าน ดังนั้น การช่วยเหลือและความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นจึงสำคัญอย่างยิ่ง
ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ของการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งในชุมชน คือ "นานเข้าๆ ก็จางหายไป" เช่น เตรียมการรับมือภัยพิบัติไว้ แต่ 2 ปีน้ำไม่ท่วม ปีต่อๆ มาก็เลือนราง
ฉะนั้น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจึงควรบรรจุหมวดการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติเข้าไปในรายงานของงบประมาณที่ได้ด้วย