นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า:ผู้รับบริการไม่ได้รับตามงบฯอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
"แม้นโยบายสาธารณสุขไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาในการเรียนรัฐศาสตร์บ่อยนัก แต่ลักษณะเฉพาะของนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เกิดมาจากโครงสร้างส่วนล่างของระบบ ก็เป็นตัวอย่างที่ควรนำไปปรับใช้กับการออกนโยบายอื่น เช่น นโยบายการศึกษา ด้วย"
วันที่ 19 มิ.ย. 2560 ณ ห้อง ร.103 ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัด “Direk's Talk : ทิศทางการเมืองโลก การเมืองไทย และนโยบายสาธารณะ” ในตอนหนึ่งของการเสวนา ศ.ดร.อัมพร ธำรงลักษณ์ ได้กล่าวถึงงานวิจัยเรื่อง การศึกษานโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยกล่าวว่า เกิดจากความสนใจส่วนตัวประกอบกับ Universitas Muhammadiyah Yogyakarta (UMY) ประเทศอินโดนีเซีย เสนอให้มีการวิจัยร่วมกัน จึงตอบตกลง
ศ.ดร.อัมพร เล่าถึงที่มาของนโยบายว่า ต่างกับนโยบายอื่น ๆ ที่มักจะมีที่มาจาก “คุณพ่อรู้ดี” กล่าวคือมาจากรัฐบาลสั่งการจากบนลงล่าง ก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติจริง แต่นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากลับ การมาจากเบื้องล่าง โดย นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ได้มีโอกาสสัมผัสปัญหาการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขจากการปฏิบัติงาน จึงริเริ่มศึกษาปัญหาและสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อแก้ปัญหาโดยในระยะแรกได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม เพียงการสร้างองค์ความรู้ไม่สามารถทำให้นโยบายเกิดขึ้นได้ นพ.สงวนจึงต้องหาแรงสนับสนุนจากภาคการเมืองที่สุด พรรคไทยรักไทยขานรับแนวคิดเรื่องการจัดให้มีการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขถ้วนหน้านี้ แนวคิดดังกล่าวจึงกลายมาเป็นนโยบายหนึ่งที่ทำให้พรรคไทยรักไทยก้าวสู่การเป็นรัฐบาลในปี 2544
แม้จะมีองค์ความรู้ และได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการเมือง อีกภาคส่วนหนึ่งที่จะทำให้องค์ประกอบของ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” หรือ “Iron Triangle” ครบถ้วนสมบูรณ์คือภาคประชาชน ที่สุดท้ายมาบรรจบเมื่อ ใจ อึ๊งภากรณ์ รวบรวมรายชื่อ ตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 เพื่อเสนอกฎหมาย “หน้าต่างนโยบาย” (policy windows) จึงเปิดออก คลอดเป็นกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2545
ปี 2548 มีการปฏิรูประบบราชการ เนื่องจากรัฐบาล ณ เวลานั้นนำโดยพรรคไทยรักไทยได้รับแนวคิดการบริหารภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มาปรับใช้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ จากเดิมที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ มีการตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มาเป็นผู้ซื้อการบริการจากกระทรวงสาธารณะสุข ภายใต้การบริหารในรูปแบบคณะกรรมการ และผู้คณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพผู้ให้บริการแยกออกมาดังปัจจุบัน
ผู้รับบริการไม่ได้รับการบริการตามงบฯอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
การศึกษาของ ศ.ดร.อัมพร มีการเก็บข้อมูลจากโรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว และโรงพยาบาลเอกชน โดยสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ แพทย์ ผู้รับการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มสูงอายุ พบว่าแม้ผู้รับการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่จะประเมินการให้บริการในระดับดี แต่เมื่อสัมภาษณ์ผู้ให้บริการ พบปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่ กล่าวคือ ที่สุดแล้วผู้รับบริการไม่ได้รับการบริการตามงบประมาณที่จัดไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากมีการแบ่งงบประมาณที่คำนวนต่อหัวประชากรที่มีสิทธิรับบริการถูกแบ่งไปจัดซื้อเป็นค่าบุคคลากร เครื่องมือเครื่องใช้ และอื่น ๆ ยกตัวอย่าง มีการจัดสรรงบประมาณไว้ให้ผู้มีสิทธิ 100 บาทต่อคนต่อปี (ในความเป็นจริงคือ 3,000 บาท) แต่ผู้รับบริการจะได้เพียง 60 บาท เนื่องจากมีการหัก 40 บาทไปก่อนให้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่ได้กล่าว ทั้งที่ส่วนนี้ควรจะตกที่ผู้มีสิทธิทั้งหมด
ศ.ดร.อัมพร แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าต้องเน้นการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน หากตัวแทนจากภาคประชาชนต้องหายไปโดยมีตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขมาแทนที่จะเกิดปัญหาเรื่องประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงเรื่องผลประโยชน์ที่จะตกแก่ประชาชนไม่ให้ลดน้อยลงด้วย
เป็นตัวอย่างนำไปปรับใช้กับการออกแบบนโยบายการศึกษา
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.อัมพร กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้นโยบายสาธารณสุขไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาในการเรียนรัฐศาสตร์บ่อยนัก แต่ลักษณะเฉพาะของนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เกิดมาจากโครงสร้างส่วนล่างของระบบ ก็เป็นตัวอย่างที่ควรนำไปปรับใช้กับการออกนโยบายอื่น เช่น นโยบายการศึกษา ด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงเดียวกันของงาน ยังมีการเสวนางานวิจัยเรื่อง “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล คศ.1982 กับการดำเนินงานของประเทศไทย” โดย รศ.ดร.โสภารัตน์ จารุสมบัติ เรื่อง “การพัฒนาขั้นตอนปฏิบัติมาตรฐานในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่กำหนดจากตารางเงื่อนไขของการจัดการภัยพิบัติ” โดย ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช และเรื่อง “การบริหารคนเก่ง : แนวคิดในต่างประเทศและประสบการณ์ในภาครัฐของไทย” โดย ผศ.ดร.สุนิสา ช่อแก้ว และมี ผศ.ดร.ภาคภูมิ ฤกขะเมธ ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการตลอดทั้งรายการ