3ยักษ์ใหญ่ค้านภาษีรถ ชี้เอื้อบางค่าย ใช้อี85ได้ประโยชน์ รบ.เล็งรื้อโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ
ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ค้านยกเลิกอุดหนุนอี 20 เผยเตรียมถก′ปู′ช่วงเยือนญี่ปุ่น ′′อารักษ์′′เตรียมรื้อโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ ด้านดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.พุ่ง หลัง รบ.เร่งเบิกจ่ายงบ แต่ยังกังวลเรื่องการว่างงาน
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จากประชาชนจำนวน 3,075 คน พบว่าดัชนีทุกรายการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวหลังเกิดวิกฤตอุทกภัยปลาย ปีที่ผ่านมา การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของ รัฐบาลเพื่อเยียวยาผู้ประสบภัย และนโยบายยกระดับรายได้ประชาชนจากการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ ปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท ในเดือนเมษายนนี้ และรับจำนำสินค้าเกษตรในราคาสูง ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับเพิ่มเป็น 25.8 จากเดือนมกราคม 24.2 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ดัชนีความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน และในอนาคต ปรับเพิ่มเป็น 15.7 และ 32.6 ตามลำดับ จาก 14.6 และ 30.6 ขณะที่ระดับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อรายได้ในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) เพิ่มจาก 46.5 เป็น 50.3 เป็นระดับเกิน 50 ครั้งแรกในรอบ 8 ปี
นายยรรยงกล่าวว่า แต่ระดับความเชื่อมั่นต่อโอกาสในการหางานทำในปัจจุบันและโอกาสในการหางานทำในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ลดลง จาก 13.3 และ 12.9 เป็น 11.6 และ 11.8 สะท้อนว่าคนกังวลเรื่องการว่างงานสูง ส่วนผลสำรวจการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นในปัจจุบันและอนาคต ดีขึ้น จาก 59.5 และ 58.7 เป็น 66.4 และ 65.4 ผลจิตวิทยาการปรับเพิ่มเงินเดือนและราคาสินค้าสูงขึ้น แต่ผลสำรวจเกี่ยวกับการวางแผนซื้อรถยนต์ใน 6 เดือนข้างหน้า และวางแผนซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าคงทน (ยกเว้นบ้าน) 6 เดือนข้างหน้า ลดลงจาก 10.2 และ 20.0 เหลือ 9.6 และ 18.1 เป็นผลจากโรงงานผลิตเพื่อขายลดลง
นายยรรยงกล่าวว่า แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมีนาคม 2555 จะดีขึ้น ผลราคาสินค้าเกษตรขยับตัวสูงขึ้น การปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำ เม็ดเงินเบิกจ่ายงบประมาณ การผ่าน พ.ร.ก.กู้เงินดูแลน้ำท่วม และมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขยายยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอีก 1 เดือน แต่ก็ยังมีปัจจัยลบในเรื่องแนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้น อาจกระทบต่อวัตถุดิบและราคาสินค้าสูงขึ้น โดยประชาชนต้องการให้รัฐบาลดูแลราคาพลังงานและน้ำมันเพื่อไม่กระทบต่อค่าครองชีพ ดูแลปัญหาการว่างงาน
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมเพื่อนำเสนอผลการประชุมเชิงปฏิบัติการตามประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญ (Strategy Workshop Series) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมาว่า กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการทบทวนนโยบายพลังงานใหม่ทั้งหมดโดยเฉพาะเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงานไม่สอดคล้องกับต้นทุนแท้จริง เนื่องจากนำเงินงบประมาณมาอุดหนุนจนทำให้โครงสร้างราคาบิดเบือนและทำให้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องติดลบ ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามีการลักลอบนำก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ตามแนวชายแดนไปขายประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมากเพื่อกินส่วนต่างห่างกันมาก ระหว่างราคาแอลพีจีในประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่การทบทวนนโยบายใหม่ ต้องดูแลคนเดือดร้อนจริงๆ ให้ทั่วถึงและถูกต้อง คาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้ข้อสรุปทั้งหมด
"ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูใน รายละเอียดให้ชัดเจน เพราะพลังงานแต่ละประเภทต่างมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง เช่น ดีเซล ต้องดูเรื่องของไบโอดีเซล หรือเบนซิน ต้องดูเรื่องของเอทานอล เกี่ยวเนื่องไปถึงผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อ้อย เป็นต้น ขณะที่ก๊าซแอลพีจี ต้องดูผลกระทบที่เกิดขึ้น เพราะขณะนี้มีการลักลอบไปขายชายแดนกันมาก ควรกำหนดราคาแอลพีจีเป็นราคาเดียวเพื่อให้เท่าเทียมกัน แต่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยคนเดือดร้อนแท้จริง เช่น กรณีใช้ก๊าซแอลพีจีในครัวเรือนต้องให้การช่วยเหลือโดยตรง แต่คงไม่ใช้แนวทางการแจกคูปองแน่นอน ขณะที่ก๊าซเอ็นจีวีพบว่ายังมีสถานีบริการ หรือรถให้บริการยังไม่เพียงพอ ต้องดูในภาพรวมทั้งหมด" นายอารักษ์กล่าว
นอกจากนี้ จะทบทวนนโยบายเรื่องบัตรเครดิตพลังงานใหม่ เพราะพบว่าขณะนี้ยังสับสนและเกิดความไม่เข้าใจกันมาก ทั้งในเรื่องของบัตรส่วนลด เรื่องของบัตรเครดิต ต้องจัดทำในรายละเอียดกันใหม่หมด รวมทั้งต้องขยายไปยังรถโดยสารสาธารณะอื่นๆให้ครอบคลุมด้วย ไม่ใช่ให้เฉพาะรถแท็กซี่ หรือรถจักรยานยนต์เท่านั้น ขณะเดียวกันต้องปรับปรุงกระบวนการใช้บัตรใหม่ทั้งหมด บัตรส่วนลดราคาพลังงาน ควรติดอยู่กับรถโดยสารสาธารณะได้รับสิทธิเป็นการถาวร ไม่ใช่ถอดออกได้แล้วนำไปใช้กับรถคันอื่นเช่นในปัจจุบัน ขณะที่บัตรเครดิตพลังงาน ต้องคำนึงถึงปัญหาหนี้เสียจะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เร็วๆ นี้ กระทรวงพลังงานจะเสนอให้ขยายวงเงินกู้ของกองทุนน้ำมันฯเพื่อเสริมสภาพคล่องอีก 10,000 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 10,000 ล้านบาท ในการบริหารจัดการราคาพลังงาน เพื่อไม่ให้ดีเซลเกิน 32 บาทต่อลิตร ในกรณีราคาน้ำมันเลวร้ายสุด คือ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพราะกองทุนน้ำมันฯจะต้องจ่ายเงินชดเชย 1.80-2 บาทต่อลิตร หรือกองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยวันละ 91 ล้านบาท หรือเดือนละ 2,730 ล้านบาท
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 มีนาคม 2555 เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ของกรมสรรพสามิต จะยกเลิกการให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีกับรถยนต์นั่งหรือรถเก๋งใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 จากเดิมได้ส่วนลดภาษี 5% จาก 30% เหลือ 25% แต่จะไปให้ส่วนลดกับรถยนต์สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 และก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) แทน ว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดของการปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าว แต่หากเปลี่ยนแปลงอะไรก็อยากให้คำนึงถึงรถที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันอยู่ด้วย
นายพิทักษ์กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศของบริษัท หลังจากโรงงานประสบปัญหาน้ำท่วมนั้นล่าสุดได้นำเข้ารถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซ จำนวน 4 พันคัน และฮอนด้า แอคคอร์ด จำนวน 2 พันคัน จากประเทศญี่ปุ่น และได้ส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดช่องว่างของราคาระหว่างรถสามารถเติมน้ำมันแก๊ส โซฮอล์อี 20 กับรถสามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 ทำให้มีช่องว่างทางราคามากขึ้น เพราะรัฐไม่ได้ส่งเสริมให้ใช้แก๊สโซฮอล์มาตั้งแต่ต้น ต่างจากน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 ส่งเสริมมากว่า 2 ปีแล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 ก็ควรจะต้องดูปริมาณสำรองน้ำมันและจุดการให้บริการน้ำมันชนิดนี้ เนื่องจากปัจจุบันยังมีไม่เพียงเมื่อเทียบกับปริมาณรถใช้น้ำมันชนิดนี้ในประเทศไทย
"เชื่อว่าการปรับโครงสร้างภาษีในครั้งนี้จะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายรายไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เพราะจำนวนรถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 มีจำนวนมาก เป็นตลาดใหญ่ แต่เมื่อปรับเปลี่ยนเช่นนี้จะกลายเป็นบางบริษัทได้ประโยชน์แทน"
นางสาวสุรีทิพย์กล่าวว่า หากปรับโครงสร้างภาษีจริงเชื่อว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบคงไม่สามารถอั้นราคาได้ เชื่อว่าจะทำให้ราคารถนั่งขนาดเล็ก (บีคาร์) ปรับขึ้นเฉลี่ย 2.5-3 หมื่นบาทต่อคัน ปัจจุบันรถบีคาร์มียอดจำหน่ายต่อเดือนที่ 2.2 แสนคัน ในจำนวนดังกล่าวก็มีรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) รวมอยู่ด้วย
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย-แปซิฟิก แอนด์ แมนู แฟกเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า หากจะยกเลิกการสนับสนุนควรจะให้ระยะเวลาผู้ประกอบการเตรียมตัวสักระยะ หากจะยกเลิกการอุดหนุนรถยนต์ใช้อี 20 ก็ควรให้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดผลกระทบ ต้องใช้เวลาดำเนินการปรับเปลี่ยน อย่างไรก็ตามในระยะยาวหากรัฐบาลจะสนับสนุนเทคโนโลยีอะไรก็ตาม เมื่อผู้ประกอบการสามารถทำตามเงื่อนไขรัฐบาลได้หมดแล้ว ก็ไม่ควรยกเลิกภายหลัง ควรทำให้เกิดความชัดเจน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้บริหารบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นจะพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีระหว่างการเดินทางเยือนในวันที่ 6-9 มีนาคมนี้จะมีการหารือเรื่องนี้หรือไม่ นายศุภรัตน์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าผู้บริหารโตโยต้าจะคุยเรื่องภาพรวมการลงทุน หรือจะคุยเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ขึ้นกับว่าประธานโตโยต้าจะเปิดการเจรจาอย่างไร
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการรถยนต์กล่าวว่า ในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นของนายกฯและคณะ จะมีโอกาสได้หารือกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นหลายค่าย เชื่อว่าคงจะหารือเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนในประเทศไทยและเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ด้วย เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่
