"แรกพบอักษร" สัมผัสกิจกรรมรับน้องอักษรศาสตร์จุฬาฯยุคใหม่-เขตปลอดความรุนแรงแบบ 'โซตัส'
"....คำประกาศสิทธิการรับน้องและห้องเชียร์ ของสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การรับน้องจะต้องเคารพหลัก 6 ประการด้วยกัน ได้แก่ หลักการเคารพในสิทธิมนุษยชน หลักความโปร่งใส หลักความสมัครใจ หลักการไม่คุกคาม หลักตรวจสอบได้ และ หลักสุขอนามัย ..."

“เมื่อปราศจากการกดดันและความรุนแรงแล้ว การรับน้องจะยังบรรลุวัตถุประสงค์ได้หรือไม่?”
นี่คือ คำถามหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อประเด็นเรื่องการรับน้องรุนแรงเวียนมาเป็นวาระทางสังคมทุกปีในช่วงใกล้เปิดปีการศึกษา
โดยที่ผ่านมานั้น ภาพความรุนแรงจะถูกตีแผ่ก็ต่อเมื่อเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกาย หรือชีวิตแล้วเท่านั้น
สำหรับปีนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.60 ที่ผ่านมา สององค์กรนิสิตจุฬา ฯ พร้อมใจกันออกประกาศเรื่องการรับน้องหรือกิจกรรมต้อนรับนิสิตใหม่เพื่อแสดงจุดยืนของตน และเป็นการย้ำเตือนให้ผู้จัดกิจกรรมรับน้องภายในมหาวิทยาลัยพึงใส่ใจเรื่องสิทธิในด้านต่าง ๆ ของนิสิตใหม่เป็นสำคัญ
“คำประกาศสิทธิการรับน้องและห้องเชียร์” ของสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การรับน้องจะต้องเคารพหลัก 6 ประการด้วยกัน ได้แก่ หลักการเคารพในสิทธิมนุษยชน หลักความโปร่งใส หลักความสมัครใจ หลักการไม่คุกคาม หลักตรวจสอบได้ และ หลักสุขอนามัย
ในขณะที่ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) รับรองว่ากิจกรรมรับน้องของตนจะ “จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การเข้าร่วมในกิจกรรมจะเป็นไปตามความสมัครใจ จะไม่มีการบังคับหรือการกระทำใด ๆ อันก่อให้เกิดการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล”
นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือให้คณะต่าง ๆ พร้อมทั้งชมรม ร่วมมือจัดกิจกรรมต้อนรับนิสิตใหม่ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันด้วย
ประกาศทั้งสองก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างคึกคัก ซึ่งนอกจากฝ่ายต้านรับน้องรุนแรงแล้ว ฝ่ายสนับสนุนก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนเช่นกัน โดยกล่าวว่า ความกดดันทางกายและใจเป็นไปเพื่อสร้างความสมัครสมานสามัคคีภายในหมู่คณะ อันเป็นวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรมรับน้อง
เพื่อพิสูจน์ว่า “ความสามัคคีสร้างขึ้นได้ด้วยการกดดันและความรุนแรงวิธีเดียวเท่านั้นหรือ?”
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2560 ผู้สื่อข่าวอิศรา www.isranews.org ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมแรกพบอักษร ของ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อสำรวจกิจกรรมแรกในการต้อนรับนิสิตใหม่

สำหรับ กิจกรรมแรกพบอักษร เป็นกิจกรรมระยะเวลาหนึ่งวันเต็ม ภายในงาน ประกอบด้วย กิจกรรมทำข้อสอบจำลอง การแนะนำคณะ ข้อมูลด้านวิชาการ กิจกรรม ชมรมต่าง ๆ สอนร้องเพลงประจำคณะและมหาวิทยาลัย กิจกรรมพี่เก่ากลับมาแนะนำแนวทางการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแก่รุ่นน้อง และปิดท้ายด้วยกิจกรรมสันทนาการ
ทั้งหมดอยู่ภายใต้ชื่อ "All Roads Lead to Arts" ที่เล่นกับสำนวน “All Roads Lead to Rome” โดยสื่อว่า นิสิตใหม่มีความหลากหลาย เข้ามาด้วยรูปแบบต่าง ๆ กันเปรียบเสมือนถนนหลายเส้น ที่สุด มุ่งสู่คณะอักษรศาสตร์ที่เปรียบดังกรุงโรม เนื่องจากเป็นแหล่งบ่มเพาะอารยธรรมมนุษยชาติ

นายภูมิภัทร สุวนานันท์เจริญ ผู้รับผิดชอบเรื่องเนื้อหากิจกรรม กล่าวว่า กิจกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อต้อนรับและแนะนำให้นิสิตรุ่นต่อไปได้รู้จักคณะอักษรศาสตร์
“เหมือนทุกคนเดินทางเข้ามาที่พื้นที่ใหม่ จึงจัดกิจกรรมต่าง ๆเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ ทั้งด้านวิชาการและกิจกรรม ประสบการณ์ ชีวิตและวัฒนธรรม โดยรวมภายในหนึ่งวันอย่างมีประสิทธิภาพ กอปรกับการละลายพฤติกรรมและการสันทนาการที่ทำให้นิสิตเปิดตัว เป็นตัวเองกับคนรอบข้างมากขึ้น เพื่อให้กิจกรรมเป็นไปอย่างน่าประทับใจ สนุกสนาน ใกล้ชิดกันมากขึ้น และน่าจดจำ”
ขณะที่ นายณัฏฐ์ ไตรภูมิ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้แทนนิสิตคณะอักษรศาสตร์ กล่าวว่าประกาศขององค์กรนิสิตส่วนกลางของมหาวิทยาลัยทั้งสององค์กร ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อกิจกรรมต้อนรับนิสิตใหม่ของคณะอักษรศาสตร์แต่อย่างใดทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย เนื่องจากการรับน้องของคณะอักษรศาสตร์ดำเนินการโดยคณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์ (ก.อศ.) ซึ่งเป็นองค์กรของนิสิตในการจัดกิจกรรมภายในของคณะเอง และไม่ได้อยู่ภายใต้สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอันประกอบไปด้วย อบจ. หรือ สภานิสิต ทั้งนี้ทางสภานิสิต ได้ออกคำประกาศเพื่อรณรงค์ซึ่งไม่ได้มีผลบังคับใช้ และอบจ. เพียงแค่ขอความร่วมมือ โดยไม่ได้กำหนดมาตรการในการลงโทษแต่ประการใด ดังนั้นการรับน้องของคณะอักษรศาสตร์จึงไม่ได้ถูกจำกัดโดยหน่วยงานทั้งสอง
อย่างไรก็ดีตามโครงสร้างแล้ว คณะอักษรศาสตร์ก็มีตัวแทน คือผู้แทนนิสิตอักษรศาสตร์อยู่ในอบจ. จึงส่งผลให้ได้รับอิทธิพลความคิดต่าง ๆ รวมถึงได้มีการหาทางออกร่วมกันเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องโดยตลอด แต่ด้วยเงื่อนไขที่จำกัดของแต่ละคณะจึงไม่อาจนำมาปรับใช้เข้ากันได้ 100 % การดำเนินงานกิจกรรมของคณะอักษรศาสตร์จึงยังคงเป็นเอกเทศอยู่มาก
นอกจากนี้ด้วยปัจจัยภายในของคณะอักษรศาสตร์เองได้มีการปฏิรูประบบการรับน้องมาโดยตลอด โดยปัจจุบันการรับน้องของคณะอักษรศาสตร์นั้นไม่ได้มีการกระทำที่อยู่อยู่นอกเหนือจากคำประกาศขอสภานิสิตและ อบจ. เลย แม้แต่น้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความตามประกาศว่าจะตีความไปในทิศทางใดมากกว่า อย่างไรก็ดีในการคิดกิจกรรมของคณะอักษรศาสตร์ได้พยายามมองให้รอบด้าน และตีความให้รัดกุมอยู่แล้ว

นายณัฏฐ์ ยังแสดงความคิดเห็นด้วยว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยความสมัครสมานสามัคคีตามแบบของโซตัส
“ความสามัคคีเกิดขึ้นจากการตกลงร่วมกันของกลุ่มบุคคลโดยชอบธรรมเพื่อจะกระทำการสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วง ความสามัคคีมิจำเป็นต้องผูกโยงกับความภาคภูมิใจในคณะ หรือสิ่งใด ๆ ที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ หรือความสามัคคีเพื่อผดุงไว้ซึ่งสิ่งที่เป็นที่ถกเถียงกันในสังคม หากขึ้นอยู่กับกลุ่มบุคคลที่หลากหลายของคณะเองเสียมากกว่า”
อย่างไรก็ดีสำหรับงานที่ใช้คนจำนวนมาก การจัดกิจกรรมจะเป็นในลักษณะประสานงานเพื่อออกแบบกิจกรรมให้มีวัตถุประสงค์มุ่งไปที่ความหลากหลาย แตกต่าง ไม่มุ่งผูกขาดทางความคิดโดยอาศัยการสถาปนาอำนาจนำทางความอาวุโส แต่เน้นไปที่วัตถุประสงค์ของแต่ละงานโดยตรง ส่วนกิจกรรมอาทิ กิจกรรมเชียร์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งคณะอักษรศาสตร์ยังคงเข้าร่วมอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้ใช้กลไกโซตัสหรือการรวมกลุ่มโดยอาศัยความอาวุโส หากแต่ใช้ระบบให้นิสิตปี 1 ที่จะต้องลงแข่งขัน คิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ กิจกรรมทั้งหมดด้วยตนเอง โดยมีระดับชั้นปีที่ 2 – 4 คอยสนับสนุน ซึ่งแม้จะไม่สามารถสร้างกิจกรรมเชียร์ที่เป็นระเบียบ แสดงความสามัคคี ได้ เนื่องด้วยเงื่อนไขการรวมกลุ่มนั้นมักไม่สุกงอม แต่ก็ได้ช่วยในการฝึกการทำงานร่วมกันของผู้ที่สมควรจะรับผิดชอบจริง ๆ และเน้นความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นได้ ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรม
ทั้งนี้ยังย้ำว่า คณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์จะไม่ยอมให้เกิดความรุนแรงหรือความกดดันใด ๆ ในการจัดกิจกรรม โดยแจ้งเงื่อนไขของกิจกรรมทุกครั้ง ทั้งยังอนุญาตให้ออกกลางคันได้หากมีเหตุจำเป็น นอกจากนี้กิจกรรมทั้งหมดของคณะก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความรู้สึกเช่นนั้นแก่นิสิตอยู่แล้ว วัตถุประสงค์ของกิจกรรมก็ไม่ได้กำหนดเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นแต่ประการใด
ส่วนเรื่องสุขอนามัย ในปีนี้คณะอักษรศาสตร์ได้เลิกการใช้น้ำเหยือกในการรับน้อง และเปลี่ยนมาใช้น้ำบรรจุขวด หรือน้ำแก้ว หรือน้ำถังและให้มาเติมน้ำ อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินกิจกรรมยังคงต้องใช้น้ำเหยือกอยู่ เนื่องด้วยงบประมาณหลายๆครั้งยังคงจำกัด สำหรับสุขอนามัยในด้านอื่น ๆ เช่นการใช้สารเคมีในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆในปีนี้ได้พยายามลดการใช้สารเคมี และออกแบบกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้สารเคมีที่จะเป็นอันตรายกับผู้เข้าร่วมกิจกรรม และเน้นการใส่เนื้อหาให้มากขึ้น

ด้านนิสิตใหม่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม เผย ประทับใจการต้อนรับนิสิตใหม่ที่รุ่นพี่จัดให้ โดยเผยว่า “มีประโยชน์มากเลยครับ ชอบมาก สนุก แปลกไม่จำเจ พี่ๆ นี่ยิ่งเป็นกันเองเข้าไปอีก มีเอนเตอร์เทนสลับวิชาการทำให้ไม่เบื่อ รักคณะนี้มากกว่าเดิมสิบเท่า”
คณะอักษรศาสตร์แบ่งจัดกิจกรรมต้อนรับนิสิตใหม่ออกเป็นสองครั้งด้วยกัน ได้แก่ กิจกรรมแรกพบอักษรที่จัดไปในวันที่กล่าวไปข้างต้น และ กิจกรรมรับน้องอักษร ที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ อักษรศาสตร์เป็นคณะแรก ๆ ที่ตัดสินใจยกเลิกระบบห้องเชียร์อันเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมายาวนานกว่า 80 ปี เพื่อเลี่ยงการผลิตซ้ำวัฒนธรรมอาวุโสซึ่งขัดกับความเป็นปัจเจกอันเป็นธรรมชาติของนักอักษรศาสตร์
แม้ปัญหาจะได้รับการพูดถึงทุกปี แต่เหตุการณ์ชวนสลดใจที่เกิดจากการรับน้องรุนแรงก็เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีเช่นกัน เมื่อหมดระลอกแล้วความพยายามในการแก้ปัญหาก็หายไปแบบคลื่นกระทบฝั่ง
น่าสนใจว่าความพยายามของจุฬาลงกรณ์ครั้งนี้จะส่งแรงสะเทือนต่อวัฒนธรรมรับน้องของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วประเทศได้มากน้อยเพียงใด และจะส่งต่อถึงรุ่นต่อไปได้หรือไม่
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก กานต์รวี โทจันทร์
