เมื่อกฤษฎีกาชี้ขาดข้อกม.การรับเด็กสัญชาติลาว ไม่ได้เกิดในไทย เป็นบุตรบุญธรรม
"...พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมฯ ที่ว่า "เนื่องจากการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมซึ่งแต่เดิมเคยจำกัดอยู่เฉพาะในระหว่างเครือญาติผู้รู้จักคุ้นเคยกัน นั้น บัดนี้ ได้แพร่ขยายออกไปสู่บุคคลภายนอกอื่น ๆทั้งคนไทยและคนต่างด้าว สมควรกำหนดเงื่อนไขและวิธีการในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมไว้เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กที่จะเป็นบุตรบุญธรรม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ..."

ปัญหาข้อกฎหมายว่าด้วยการขอรับเด็กที่มีสัญชาติอื่นที่มิได้เกิดในประเทศไทยเป็นบุตรบุญธรรม ยังคงปรากฎให้เห็นอยู่ในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง!
ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่ความเห็นทางกฎหมาย กรณี กรมกิจการเด็กและเยาวชนได้มีหนังสือ ที่ พม 0306/2790 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2560 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ด้วยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่ในการให้การสงเคราะห์และคุ้มครองเด็กตามพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมให้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหารือปัญหา
ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในการประชุมคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2560 ได้พิจารณากรณีจังหวัดตากขอหารือแนวทางการรับเด็กสัญชาติลาว เป็นบุตรบุญธรรมมายังศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เนื่องจากได้รับคำขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
กรณีนางสาวสม สอนมั่ง อายุ 54 ปี ที่อยู่ 61 หมู่ 2 ตำบลหนองบัวเหนือ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก
มีความประสงค์ขอรับนาง (เด็กหญิง) ด. (อักษรย่อ) อายุ 8 ปี สัญชาติลาว (บุตรของนายสมบัด ไม่มีนามสกุล อายุ 48 ปี สัญชาติลาว และนางจันดาวัน อายุ 38 ปี สัญชาติลาว) เป็นบุตรบุญธรรม
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าเด็กหญิง ด. (อักษรย่อ) เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2551 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีหนังสือรับรองการเกิดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บิดามารดาแยกทางกัน ไม่สามารถติดต่อบิดาได้ เด็กเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อประมาณ พ.ศ. 2552 โดยเดินทางมาพร้อมกับมารดาและอาศัยอยู่กับนางหน่อง (ป้า) ซึ่งเป็นพี่สาวของมารดาเด็ก
นางหน่องเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยอาศัยอยู่กับนางสาวสมฯ (ผู้ขอรับเด็ก) ต่อมามารดาเด็กเดินทางกลับประเทศลาวและได้ฝากเด็กไว้ให้อยู่ในความดูแลของนางหน่อง ปัจจุบันเด็กกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยนางสาวสมฯ เป็นผู้ให้การเลี้ยงดูและรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของเด็ก ซึ่งนางสาวสมฯ มีความประสงค์ที่จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้พิจารณาข้อมูลดังต่อไปนี้ประกอบการพิจารณา
1. หนังสือตอบข้อหารือของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำราชอาณาจักรไทย ที่ได้ตอบข้อหารือสรุปความได้ว่า ปัจจุบันรัฐบาลลาวได้หยุดการพิจารณาเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว อันเนื่องมาจากอยู่ในระยะการสร้างเอกสารนิติกรรมเพื่อรับรองเรื่องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ ยกเว้นกรณีผู้ร้องขอเป็นบุคคลเชื้อชาติลาว สัญชาติต่างประเทศซึ่งเป็นญาติแท้จริงของเด็กจะได้รับการพิจารณาอนุมัติตามแต่ละกรณีที่เห็นว่าจำเป็นและสมควร
2. หนังสือเรื่องเสร็จที่ 53/2559 ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ตอบข้อหารือกรณีการขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมว่า คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีอำนาจตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 ได้บัญญัติไว้เป็นการทั่วไปและไม่มีบทบัญญัติให้ใช้บังคับเฉพาะเด็กที่มีสัญชาติไทยหรือสัญชาติของประเทศหนึ่งประเทศใดเท่านั้น ประกอบกับเมื่อพิจารณาเหตุผลในการตราพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมฯ แล้วเห็นว่า กฎหมายมุ่งคุ้มครองเด็กที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นหลัก โดยไม่คำนึงว่าเด็กจะมีสัญชาติไทยหรือสัญชาติของประเทศหนึ่งประเทศใดหรือไม่ ดังนั้น คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมจึงมีอำนาจตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522พิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมสำหรับกรณีเด็กไร้สัญชาติไทยที่เกิดในประเทศไทย ซึ่งบิดามารดาของเด็กเป็นบุคคลสัญชาติเมียนมาและกรณีเด็กที่มีสัญชาติเมียนมาได้ทั้งสองกรณี
นอกจากนี้ การพิจารณาการรับบุตรบุญธรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสัญชาตินั้นเมื่อปี พ.ศ. 2529 ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้เคยหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า "คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีอำนาจพิจารณาคำขอรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยเป็นบุตรบุญธรรมได้"
3. ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้จัดประชุมหารือกรณีหนังสือตอบข้อหารือเรื่อง การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในเรื่องเสร็จที่53/2559 กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม โดยผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนและเป็นผู้ที่ไม่ได้เกิดในราชอาณาจักรไทยว่า "แม้กระทรวงการต่างประเทศจะอนุโลมหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ แต่ก็ย่อมจะติดขัดระเบียบข้อบังคับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป (เนื่องจากเป็นผู้ที่ไม่มีถิ่นพำนักในประเทศไทย) เพราะถ้าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองก่อนที่จะออกนอกราชอาณาจักรจะต้องดำเนินคดีเข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองให้เสร็จสิ้นเสียก่อนแล้วจึงจะมีการผลักดันออกไปนอกราชอาณาจักร แล้วสามารถกลับเข้ามาใหม่ให้ชอบด้วยกฎหมาย(มีหนังสือเดินทางและมีวีซ่า)"
4. ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กและความร่วมมือในการรับรองบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ (Hague Convention on the Protection of Children and Cooperation in Respect of Intercountry Adoption) โดยได้ให้สัตยาบันเมื่อปี พ.ศ. 2547 อนุสัญญาดังกล่าวมีบทบัญญัติในข้อ 2 (1) ให้ใช้กับกรณีเด็กซึ่งมีถิ่นที่อยู่ปกติในรัฐคู่สัญญาหนึ่ง(รัฐกำเนิด) ได้ถูก กำลังถูก หรือกำลังจะถูกนำไปยังอีกรัฐคู่สัญญาหนึ่ง (รัฐผู้รับ) ไม่ว่าหลังการรับบุตรบุญธรรมในรัฐกำเนิด โดยคู่สมรสหรือบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่ปกติในรัฐผู้รับหรือเพื่อความมุ่งหมายของการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเช่นนั้นในรัฐผู้รับหรือรัฐกำเนิด
คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมพิจารณาแล้ว เห็นว่ากรณีนี้ผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีสัญชาติไทยประสงค์ขอรับเด็กที่มีสัญชาติลาว โดยเด็กไม่ได้เกิดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาหนังสือเรื่องเสร็จที่ 53/2559 ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่พิจารณาว่าคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีอำนาจตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 พิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมสำหรับกรณีเด็กไร้สัญชาติไทยที่เกิดในประเทศไทยซึ่งบิดามารดาของเด็กเป็นบุคคลสัญชาติเมียนมาและกรณีเด็กที่มีสัญชาติเมียนมาได้ทั้งสองกรณี นั้น
คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการตอบข้อหารือกรณีเด็กที่ไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศไทยซึ่งบิดามารดาเป็นบุคคลสัญชาติเมียนมาและเด็กที่มีสัญชาติเมียนมาเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งกรณีนี้เป็นกรณีที่ผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีสัญชาติไทยประสงค์ขอรับเด็กที่มีสัญชาติลาวที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทยเป็นบุตรบุญธรรม
ข้อเท็จจริงจึงแตกต่างไปจากที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบข้อหารือมา
คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมจึงมีมติให้หารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็น ดังต่อไปนี้
1.คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีอำนาจพิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมสำหรับกรณีเด็กที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทยซึ่งได้ถูกนำมา (เคลื่อนย้ายมา)จากประเทศที่ไม่ได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กและความร่วมมือในการรับรองบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งมีบิดามารดาเป็นบุคคลสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทย และเด็กนั้นเป็นเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยหรือเด็กมีสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทย เช่น เด็กที่มีสัญชาติลาวหรือเมียนมา เป็นต้น โดยขณะที่จะมีการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เด็กนั้นมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ได้หรือไม่
2. สำหรับกรณีเด็กที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ซึ่งได้ถูกนำมา (เคลื่อนย้ายมา)จากประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กและความร่วมมือในการรับรองบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งบิดามารดาเป็นบุคคลที่มีสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทย โดยเด็กนั้นเป็นเด็กที่มีสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทย โดยขณะที่จะมีการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เด็กนั้นพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย เช่น เด็กมีสัญชาติกัมพูชา อินเดีย อังกฤษ อเมริกัน เป็นต้น
คณะกรรมการฯ ควรจะนำข้อ 2 (1) ของอนุสัญญาดังกล่าว มาประกอบการพิจารณาก่อนมีมติ (อนุมัติ) ในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่ กล่าวคือ ควรสอบถามหรือแจ้งไปยังประเทศที่เด็กถูกนำมา (เคลื่อนย้ายมา)ว่าเด็กยังมีถิ่นที่อยู่ปกติในประเทศดังกล่าวหรือไม่ และประเทศดังกล่าวรับทราบและขัดข้องหรือไม่ว่าเด็กที่จะถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายภายในของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อมิให้การดำเนินการรับบุตรบุญธรรมภายในประเทศของไทยขัดแย้งกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ในการเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญา
กรมกิจการเด็กและเยาวชนพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมกรณีดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาตีความถ้อยคำตามตัวบทกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อยุติเป็นแนวทางบรรทัดฐานการพิจารณาและการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม จึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายตามมติคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมกิจการเด็กและเยาวชน โดยมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานปลัดกระทรวงและกรมการกงสุล)ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (สำนักงานปลัดกระทรวงและกรมกิจการเด็กและเยาวชน) ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (สำนักงานปลัดกระทรวง) และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าในประเด็นที่หนึ่ง กรมกิจการเด็กและเยาวชนมีความประสงค์ขอหารือเกี่ยวกับอำนาจของคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมว่าจะมีอำนาจพิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นกรณีทั่วไปโดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงกรณีข้อเท็จจริงของเด็กหญิง ด.(อักษรย่อ) เท่านั้น
ส่วนประเด็นที่สองมีความประสงค์ขอหารือกรณีเด็กที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ซึ่งได้ถูกนำมา (เคลื่อนย้ายมา) จากประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กและความร่วมมือในการรับรองบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งบิดามารดาเป็นบุคคลที่มีสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทย และเด็กนั้นเป็นเด็กที่มีสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทยโดยขณะที่จะมีการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เด็กนั้นพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย เช่น เด็กมีสัญชาติกัมพูชา อินเดีย อังกฤษ อเมริกัน เป็นต้น คณะกรรมการฯ ควรจะนำข้อ 2 (1) ของอนุสัญญาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาก่อนมีมติ (อนุมัติ) ในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อมิให้การดำเนินการรับบุตรบุญธรรมภายในประเทศไทยขัดแย้งกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ในการเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือไม่ นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เกี่ยวกับกรณีของเด็กหญิงดวงปะเสิดฯ แต่ประการใด อีกทั้งประเทศลาวที่เป็นรัฐกำเนิดของเด็กหญิง ด.(ย่อ) ก็ไม่ได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาฯ กับประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐที่มีการขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมด้วย
ดังนั้น กรมกิจการเด็กและเยาวชนจึงขอถอนข้อหารือในประเด็นที่สองไปหารือกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ได้ข้อยุติเสียก่อน
คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ จึงมีความเห็นเฉพาะในประเด็นที่หนึ่งว่า เมื่อพิจารณาหลักทั่วไปของขอบเขตการบังคับใช้กฎหมาย ประกอบกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวแล้ว เห็นว่าตามหลักทั่วไปของกฎหมายภายในของประเทศหนึ่งย่อมใช้บังคับแก่บุคคลทุกคนซึ่งอยู่ภายในดินแดนของประเทศนั้น ประกอบกับเมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การรับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 แล้ว ปรากฏว่ามาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้นิยามคำว่า "เด็ก" หมายความว่า ผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และไม่มีบทบัญญัติใดที่แสดงให้เห็นว่ากฎหมายประสงค์จะจำกัดขอบเขตการใช้บังคับเฉพาะแก่เด็กที่เกิดในประเทศไทยหรือมีสัญชาติไทยเท่านั้น และเมื่อพิจารณาอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมในมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมฯ ที่ได้บัญญัติให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
ประกอบกับเหตุผลท้ายพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมฯ ที่ว่า "เนื่องจากการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมซึ่งแต่เดิมเคยจำกัดอยู่เฉพาะในระหว่างเครือญาติผู้รู้จักคุ้นเคยกัน นั้น บัดนี้ ได้แพร่ขยายออกไปสู่บุคคลภายนอกอื่น ๆทั้งคนไทยและคนต่างด้าว สมควรกำหนดเงื่อนไขและวิธีการในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมไว้เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กที่จะเป็นบุตรบุญธรรม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ..."
แสดงให้เห็นว่ากฎหมายมุ่งประสงค์เพื่อคุ้มครองเด็กที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นหลัก โดยไม่คำนึงว่าเด็กจะเกิดในประเทศไทยหรือประเทศอื่น หรือเด็กจะมีสัญชาติไทยหรือมีสัญชาติอื่น
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าวก็ไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมมีอำนาจพิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมสำหรับกรณีที่มีข้อเท็จจริงอันเป็นการจำกัดในเรื่องสถานที่เกิดของเด็ก สัญชาติของเด็ก สัญชาติของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเด็ก หรือสัญชาติของผู้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมไว้เป็นการเฉพาะแต่ประการใด
ดังนั้น คณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมจึงมีอำนาจพิจารณาและมีมติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมในประเด็นนี้ได้ตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมฯ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยให้ความเห็นไว้ในเรื่องเสร็จแล้ว
--------------------
ความเห็นทางของกฤษฎีกาที่ออกมาครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการชี้ขาดข้อกฎหมาย โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไหน มีสัญชาติไทยหรือมีสัญชาติอื่นก็ตาม...
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ Royal Thai Embassy Vientiane
