แรงงานต่างด้าวผิด กม.ไม่ต้องรับโทษจริงหรือ.? หลังใช้ ม.44 ยืดบังคับใช้ พ.ร.ก
ผมได้แต่หวังว่าปัญหาเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว มิเช่นนั้นประเด็นนี้อาจจะทำให้ปัญหาเรื่องแรงงานผิดกฎหมายของไทยทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ก่อนที่จะมีการบังคับใช้ พ.ร.ก. 2560 ในปีหน้า เพราะแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่มีอยู่จำนวนมากไม่ต้องถูกลงโทษ เสมือนหนึ่งว่าเขาเป็นแรงงานโดยชอบด้วยกฎหมาย

"การที่ คสช. ใช้มาตรา 44 ยืดระยะเวลาในการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2561 ทำให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไม่ต้องรับโทษในช่วงนี้...จริงหรือ?"
บทความนี้ผมเขียนขึ้นด้วยความสงสัยส่วนตัวในฐานะนักศึกษากฎหมายคนหนึ่ง ดังนั้นบทความนี้จึงเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ความเห็นทางวิชาการแต่ประการใด ซึ่งประเด็นที่ผมเกิดความสงสัยคือประเด็นที่ว่า "การที่การกระทำซึ่งถือได้ว่าเป็นความผิดทั้งในกฎหมายเดิม (พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551) และในกฎหมายใหม่ (พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560) ซึ่งโทษตามกฎหมายใหม่ก็มีการกำหนดไว้สูงกว่ากฎหมายเดิมด้วยนั้น แต่เกิดเหตุให้การบังคับใช้โทษของกฎหมายใหม่ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป เพียงเพราะเหตุนี้ถึงกับจะทำให้การกระทำที่เป็นความผิดดังกล่าวนั้นไม่ต้องรับโทษอะไรเลยหรือ?"
คำถามนี้เกิดขึ้นหลังจากการที่ผมได้อ่านคำวินิจฉัยฉบับหนึ่งของศาลในจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกของไทย ซึ่งคดีดังกล่าวพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยไว้หลายกระทง และหนึ่งในความผิดที่อัยการได้ยื่นฟ้องก็คือความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 9 และ 51 ของพ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 และศาลได้มีคำพิพากษา "ยกฟ้อง" โจทก์ในความผิดที่เกี่ยวกับพรบ.การทำงานของคนต่างด้าว โดยให้เหตุผลว่า
"ภายหลังการกระทำผิดมีพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 มาตรา 8 บัญญัติให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิด มาตรา 101 กำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าว แต่ต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติที่ 33/2560 เรื่อง มาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
ข้อ 1. ให้มาตรา 101 มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
ข้อ 6. คำสั่งให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป ซึ่งมีผลให้กำหนดโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา 101ยังไม่ใช้บังคับ และถือว่าพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ไม่ได้กำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าวไว้ จึงเป็นกรณีที่กำหนดโทษของกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดแตกต่างจากที่กำหนดโทษของกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด จึงให้ใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ที่ไม่มีโทษกำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใดๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้"
จะเห็นได้จากคำพิพากษาฉบับนี้ว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดทั้งกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ เพียงแต่ตามกฎหมายใหม่นั้นได้มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้โทษออกไป หากจะมองจากประเด็นตามข้อกฎหมายว่า เมื่อ พ.ร.ก. 2560 ได้ยกเลิก พ.ร.บ. 2551 แล้ว ดังนั้นการลงโทษที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเดิมก็ย่อมถูกยกเลิกไปด้วย และเมื่อการบังคับใช้โทษของกฎหมายฉบับใหม่ยังไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้น การพิพากษายกฟ้องน่าจะเป็นทางออกที่เป็นไปตามข้อกฎหมายมากที่สุด ซึ่งหากพิจารณาในส่วนดูนี้ก็ดูจะเป็นประเด็นที่น่าจะรับฟังและชอบด้วยหลักกฎหมาย
แต่ข้อสังเกตของผมจากข้อเท็จจริงนี้มี 2 ส่วน
ส่วนแรกเริ่มจากการพิจารณาตามหลัก ตรรกวิทยา เมื่อกฎหมายทั้งเก่าและใหม่ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด ผู้กระทำผิดควรต้องได้รับโทษไม่ใช่หรือ? การหยิบยกข้อจำกัดในเรื่องทางกฎหมายจนสุดท้ายผู้กระทำผิดจึงไม่ต้องรับโทษเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือไม่?
ซึ่งในประเด็นนี้ด้วยความเคารพต่อท่านผู้พิพากษาที่เป็นผู้พิจารณาคดี ข้อสังเกตนี้ผมไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อตำหนิหรือก้าวล่วงดุลยพินิจในการพิจารณาพิพากษาของท่าน หากแต่ต้องการตั้งเป็นข้อสังเกตส่งไปถึงผู้ที่จะออกกฎหมายว่าควรมีความละเอียดรอบครอบในการป้องกันเพื่อที่จะไม่ให้เกิดช่องว่าง หรือสูญญากาศ ในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วแม้กฎหมายนี้จะเป็น พระราชกำหนด ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีค่าเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ แต่การที่ใช้พระราชกำหนดยกเลิกพระราชบัญญัติ และด้วยตัวของพระราชกำหนดไม่ต้องมีบทเฉพาะกาล ดังนั้นการที่ออกกฎหมายแล้วยกเลิกกฎหมายเก่าประกอบกับไม่มีการให้ระยะเวลาผู้ปฏิบัติได้มีเวลาในการแก้ไข อีกทั้งกฎหมายฉบับนี้ซึ่งโดยปกติ กฎหมายที่มีการยกร่างเพื่อยกเลิกกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง ในภาษาของนักยกร่างกฎหมาย จะบอกว่าการยกร่างกฎหมายแบบนี้ต้องมีบทกวาด บทอุดไว้ ซึ่งปัญหาของเรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ เรื่องการเหลื่อมกันระหว่างการบังคับใช้กฎหมายเก่ากับกฎหมายใหม่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการใส่ "บทอุด" ไว้ในกฎหมายหรือคำสั่ง
แต่ปรากฏว่าทั้งกฎหมายและคำสั่ง คสช. ที่ออกมาไม่ได้มีการกำหนดว่า "ในระหว่างที่โทษของกฎหมายฉบับใหม่ยังไม่ใช้บังคับ ให้การกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่จะมีผลบังคับใช้ถือเป็นความผิดและรับโทษตามกฎหมายเดิมไปก่อน" ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้และทำให้การพิจารณาและพิพากษาคดีไม่ขัดกับตรรกที่ควรจะเป็น ดังนั้นในประเด็นแรกจะเห็นได้ว่าคำพิพากษาที่ออกมาไม่ใช่ปัญหาหลัก หากแต่เป็นบทกฎหมายที่มีความไม่สมบูรณ์ในการอุดช่องว่าง จึงทำให้เกิดปัญหาในเรื่องดังกล่าว
ส่วนที่ 2 หากจะพิจารณาจากประเด็นข้อกฎหมาย ซึ่งสามารถแบ่งตัวอย่างได้เป็น 2 กรณี
ในกรณีที่ 1 มีการกระทำผิดก่อน พ.ร.ก. จะประกาศใช้ และฟ้องศาลโดยจำเลยรับสารภาพก่อนวันที่ คสช. จะมีคำสั่ง กับกรณีที่ 2 มีการกระทำผิดเช่นกันแต่ฟ้องหลังจากวันที่ พ.ร.ก. มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าศาลสามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ทั้ง 2 กรณี นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้ว การกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าจะฟ้องคดีสู่ศาลเมื่อใดผู้กระทำความผิดก็ควรที่จะได้รับโทษ การที่มีคำพิพากษายกฟ้องในลักษณะดังกล่าวข้างต้นอันเกิดจากข้อจำกัดและความบกพร่องของกฎหมาย จะทำให้ความเข้าใจของคนในสังคมและคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายเข้าใจว่า การกระทำของของแรงงานผิดกฎหมายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอาผิดผู้กระทำความผิดได้ในระหว่างนี้ ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดปัญหากับสังคมตามมาไม่มากก็น้อย
ผมจึงมีข้อเสนอในการแก้ไขปัญหานี้ใน 2 ประเด็นหลักด้วยกัน
1. ควรมีการอุทธรณ์คำพิพาษาของคดีในศาลสูงต่อไป เพราะเป็นคำพิพากษาที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง
2. ควรต้องมีการปรับแก้กฎหมายหมายหรือคำสั่งเพื่อที่จะเป็นการอุดช่องว่างในเรื่องของความเลื่อมล้ำของช่วงเวลาในการบังคับใช้กฎหมายที่เกิดขึ้น เพราะหากไม่มีการปรับแก้ในส่วนนี้ แม้จะมีการอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลสูง ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีแนววินิจฉัยในลักษณะเดียวกันนี้ อันเกิดขึ้นจากข้อจำกัดและช่องว่างทางกฎหมาย
ผมได้แต่หวังว่าปัญหาเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว มิเช่นนั้นประเด็นนี้อาจจะทำให้ปัญหาเรื่องแรงงานผิดกฎหมายของไทยทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ก่อนที่จะมีการบังคับใช้ พ.ร.ก. 2560 ในปีหน้า เพราะแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่มีอยู่จำนวนมากไม่ต้องถูกลงโทษ เสมือนหนึ่งว่าเขาเป็นแรงงานโดยชอบด้วยกฎหมาย
