การท่าเรือเทงบแหลมฉบัง2พันล.ผุดท่าเทียบตลาดชายฝั่ง
กทท.ทุ่ม 2,000 ล้านบาท หนุน "แหลมฉบัง" เร่งขยายท่าเทียบใหม่ด่วน A0-A1 รองรับตลาดใหญ่เรือชายฝั่งได้พร้อมกันครั้งละ 2 ลำ ขนาด 1,000-3,000 ตัน เก็บค่าตู้อัตราใหม่ 1,545 บาท ควบคู่กับแผนขยายเฟส 3 ยกเครื่องการขนส่งทางเรือขานรับเออีซี
นายเฉลิมเกียรติ สลักคำ ผู้ว่าการท่าเรือแฉลมฉบัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้อนุมัติงบประมาณ 2,000 ล้านบาท มาทำโครงการพัฒนาท่าเรือชายฝั่งแฉลมฉบัง จะเริ่มการก่อสร้างได้ภายในปีนี้ จะแล้วเสร็จเปิดบริการ 2 ปีข้างหน้า ในพื้นที่ระหว่าง A0-A1 ตั้งเป้ารองรับการเติบโตของเรือชายฝั่งที่เข้ามาจอดเทียบท่าเรือแหลมฉบังได้พร้อมกัน 2 ลำ ขนาด 1,000 และ 3,000 ตัน
การขยายท่าเทียบเรือเพิ่มโซน A0-A1 นั้น เป็นกลยุทธ์รองรับการให้บริการเรือชายฝั่ง นอกเหนือจากปัจจุบันจะรับเฉพาะเรือขนส่งระหว่างประเทศ ส่วนการจัดเก็บค่าภาระตามคำแนะนำของบริษัทที่ปรึกษาเสนอไว้ที่ตู้ละ 1,545 บาท สูงกว่าค่าขนส่งของเรือระหว่างประเทศซึ่งเก็บตู้ละ1,400 บาท โดยเตรียมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการขนส่งสินค้า เช่น ระบบการยกสินค้าจากเรือ การจัดเรียงสินค้าหลังค่าเรือ เป็นต้น
นายเฉลิมเกียรติกล่าวว่า ถึงท่าเรือแหลมฉบังจะถูกกำหนดให้เป็นท่าเทียบของเรือขนส่งระหว่างประเทศ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาก็สามารถขยายตลาดลูกค้ากลุ่มเรือชายฝั่งได้ถึง 46.86% ขณะที่เรือขนส่งระหว่างประเทศเติบโตเพียง 7.90% เมื่อปี 2550 มีตู้บรรทุกสินค้า แบ่งเป็น เรือระหว่างประเทศ 4.6 ล้านอีทียู และเรือขนส่งชายฝั่ง 6.9 หมื่นอีทียู พอปี 2554 อัตราการเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากตู้บรรทุกสินค้า เรือระหว่างประเทศ 5.6 ล้านอีทียู กับเรือชายฝั่ง 2.2 แสนอีทียู
สำหรับรายได้การท่าเรือแหลมฉบัง คิดค่าขนส่งตามจำนวนตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต ตู้ละประมาณ 1,400 บาท เฉลี่ยปีละ 200,000 ตู้ มูลค่ารวม 280 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2556 จะเพิ่มตู้บรรทุกสินค้าไม่ต่ำกว่า 300,000 ตู้ หรือทำรายได้กว่า 420 ล้านบาท
ด้านนายณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส ซี แมนเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐจะลงทุนพัฒนาระบบโลจิสติกส์อย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการขนส่งทางบก และการพัฒนาท่าเรือชายฝั่งไม่จำเป็นต้องรอท่าเรือแหลมฉบังเพียงอย่างเดียว เพราะระยะเวลาดำเนินงานค่อนข้างกระชั้นชิด กับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รัฐจึงควรพัฒนาระบบบริหารจัดการท่าเรือชายฝั่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่น ในพื้นที่เจ้าพระยา แม่กลอง บางปะกง สุราษฎร์ธานี เป็นต้น นำมาใช้ประโยชน์ระหว่างรอก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งแหลมฉบัง วางกรอบการบริหารร่วมกับเอกชน เมื่อท่าเรือชายฝั่งแหลมฉบังแล้วเสร็จจะได้นำแผนบริหารจัดการมาใช้ได้ และมีจุดกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาท่าเรือชายฝั่ง เป็น 1 ในโครงการขยายศักยภาพท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ตามแผน กทท.จะขยายศักยภาพระบบโลจิสติกส์รับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558 แบ่งเป็น 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการแรก ขยายศักยภาพท่าเรือฯเฟส 3 ใช้งบฯกว่า 10,000 ล้านบาท พัฒนาท่าเรือพื้นที่ E และ F รองรับการเทียบท่าเรือเดินสินค้าระหว่างประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ต้องใช้เวลาพอสมควร
โครงการที่ 2 สร้างระบบขนส่งทางรถไฟ (real transfer) ระหว่างโซน 4 (พื้นที่ B-C) ไปยัง ICD ลาดกระบัง แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 ปี 2555-2556 เป็นเงิน กทท. 2,147 ล้านบาท เอกชน 70,620 ล้านบาท และระยะที่ 2 ปี 2557 เงิน กทท. 913 ล้านบาท และเอกชน 35 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอรายละเอียดให้กระทรวงคมนาคมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป

