ส.พระปกเกล้า ชี้บรรยากาศปรองดองยังไม่เกิด ชง3ทางโละคดี คตส.
ผลวิจัย ส.พระปกเกล้า ชี้บรรยากาศปรองดองยังไม่เกิด เพราะทุกฝ่ายบอกจำเป็นแต่ไม่ทำ เสนอออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมการเมือง โละคดี คตส.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มีนาคม ที่ห้องประชาธิปก สถาบันพระปกเกล้า ถนนแจ้งวัฒนะ นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า พร้อมคณะผู้วิจัยร่วมแถลงข่าวโครงการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่ได้เสนอต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร โดยโครงการวิจัยดังกล่าวมีการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งรวม 47 คน โดยในจำนวนดังกล่าวมีการสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ได้แก่ นายบรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายวุฒิสารแถลงว่า ข้อสรุปภาพรวมโครงการศึกษาวิจัยดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า สังคมมีปัญหาความขัดแย้งสูง และพบว่า สังคมมีความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ ดังนั้น การให้อภัยควรมีข้อเสนอนิรโทษกรรม ไม่เอาผิดจากชุมนุมทางการเมือง จาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ดังนั้น ข้อเสนอสถาบัน จึงเสนอให้อภัยและออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทางการเมืองที่เกิดจากผู้ชุมนุมทางการเมือง และคดีอาญาจากแรงจูงใจทางการเมือง หรือไม่มีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในคดีอาญาที่เกิดจากแรงจูงใจ
ส่วนความรู้สึกของประชาชนต่อกระบวนการหลัง 19 กันยายน 2549 นั้น ในส่วนกระบวนการสอบสวนผ่านคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ผู้วิจัยเห็นว่าหากต้องการเรียกความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมให้เป็นตามหลักนิติธรรม เพื่อลดเงื่อนไขข้อกล่าวอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเสนอ 3 แนวทาง ดังนี้ 1.การดำเนินคดีปกติโดยให้ผล คตส.ที่สิ้นสุดแล้วมาดำเนินการพิจารณาใหม่ โดยไม่รวมถึงคดีที่ถึงที่สุด 2.ให้เพิกถอนผลการพิจารณาทางกฎหมายของ คตส.ทั้งหมดโดยให้ดำเนินกระบวนการทางยุติธรรมใหม่โดยถือว่าไม่ขาดอายุความ และ 3.ทางเลือกที่หลายคนเสนอให้เพิกถอนผลการพิจารณาของ คตส.ทั้งหมด ไม่นำคดีมาพิจารณาใหม่ ดังนั้น 3 ทางเลือกดังกล่าวไม่ว่ากรณีใดไม่ต้องเรียกร้องให้ คตส.เป็นผู้ผิดเพราะเป็นการกระทำที่ชอบขณะนั้น
นายวุฒิสารกล่าวว่า ข้อเสนองานวิจัยนี้ยังขอให้มีการสร้างบรรยากาศเพื่อนำไปสู่ปรองดอง 7 เรื่อง 1.รัฐบาลต้องแสดงเจตจำนง ต้องการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยรัฐบาลต้องมีมาตรการให้ทุกภาคส่วนเห็น ถ้าผู้นำประะทศไม่แสดงเจตจำนงปรองดองโอกาสสำเร็จยาก 2.รัฐบาลต้องให้สังคมตระหนักให้เห็นความเสียหายที่สะสมมาก และเห็นภาพอนาคตที่ดีของประเทศ 3.รัฐบาลต้องให้ความสำคัญเยียวยาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสีย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐบาลต้องเยียวยาอย่างเป็นธรรม รวมถึงไม่เฉพาะเยียวยาตัวเงิน แต่เยียวยาความรู้สึกก็จำเป็นด้วย
4.ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยสังคมผู้อยู่วงนอกต้องยุติการกระทำใดๆ ให้สังคมรู้สึกว่าไม่มีนิติรัฐ ดังนั้น กลไกกดดันอันผิดกฎหมายไม่ควรทำ 5.ทุกฝ่ายต้องลดความพยายามการกระทำหมิ่นเหม่ประเด็นเปราะบางสังคมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กลไกทั้งหลายต้องชะลออย่าเป็นตัวเร่งให้เกิดความไม่ไว้วางใจ 6.สื่อต้องหลีกเลี่ยงการสร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะสื่อที่จัดตั้งเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและสื่อที่สังคมบอกว่าเลือกข้างไปแล้ว ดังนั้น สื่อต้องคลายความเขม็งเกลียว และ 7.สังคมต้องเลิกความคิดเอาผิดคนทำรัฐประหาร ทำผิดในอดีตทั้งหลาย เพราะจะเป็นการรื้อฟื้นความเห็นไม่ตรงกัน ดังนั้น การหาข้อยุติผ่านกระบวนการเจรจาหรือผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ทาง กมธ.วิสามัญควรเริ่มต้นหาข้อยุติร่วมกันใน กมธ. และ กมธ.ต้องเริ่มต้นหาข้อสรุปร่วมกัน
ด้าน น.ส.ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร นักวิชาการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง กล่าวว่า จากการสอบถามความคิดเห็นผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้องต่อประเด็นความขัดแย้ง พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คือคู่ขัดแย้ง โดยความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งบางกลุ่มมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณขัดแย้งรัฐไทย หมายถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด และหลักนิติธรรม ส่วนอีกกลุ่มมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณขัดแย้งกลุ่มการเมืองตรงข้ามตัวเองอยู่ที่กลุ่มนอกระบอบประชาธิปไตยหรืออำมาตย์หรือเผด็จการทหาร
"ขณะนี้เรายังไม่มีบรรยากาศของความปรองดอง จากการให้สัมภาษณ์ของผู้ทรงคุณวุฒิทำให้ทราบว่าการสร้างบรรยากาศปรองดองขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ แม้ทุกฝ่ายบอกว่าจำเป็นต้องปรองดอง จึงขอเรียกร้องให้มีการเสียสละหรือทำอย่างที่พูด แท้จริงและทุกฝ่ายมองว่า ควรจะเริ่มต้นโดยยุติกระทำต่างๆ ที่นำมาสู่ความไว้วางใจต่อกัน "น.ส.ณัชชาภัทรกล่าว . ![]()
