ลุ้นศาลฎีกาตั้ง 9 อรหันต์พิจารณาอุทธรณ์คดีสลาย พธม.
ป.ป.ช.อุทธรณ์สลายม็อบพธม.แล้วยื่นเอาผิดรายเดียว"สุชาติ เหมือนแก้ว"อดีตผบช.น.รอแจ้งจำเลยทำคำแก้อุทธรณ์ ก่อนเสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ตั้งองค์คณะ 9 คนชี้ขาดอุทธรณ์
31 ส.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ยื่นคำอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่ศาลฎีกาฯ ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ยกฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. จำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่ม พธม.ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ปี 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
โดยอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.ดังกล่าวได้ยื่นเฉพาะจำเลยที่ 4 พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่ง ป.ป.ช.ได้นำแนวทางคำวินิจฉัยเสียงข้างน้อยของผู้พิพากษาในองค์คณะ 3 คนที่เห็นว่า พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติการโดยตรงที่รับนโยบายมาดำเนินการได้กระทำเกินกว่าเหตุ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ขั้นตอนหลังจากนี้แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ ก็จะรวบรวมคำอุทธรณ์และเอกสารของฝ่าย ป.ป.ช.โจทก์ โดยมีองค์คณะในแผนกคดีอาญาฯ 3 คนรับผิดชอบดูแลในเบื้องต้นซึ่งจะแจ้งให้จำเลยทำคำแก้อุทธรณ์โจทก์ยื่นกลับมายังแผนกคดีอาญาฯ ภายใน 15 วัน ตามเกณฑ์ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พ.ศ.2551 ข้อ 7 แล้วเมื่อจำเลยส่งคำแก้อุทธรณ์มาครบถ้วน ก็จะรวบรวมถ้อยคำอุทธรณ์ของ ป.ป.ช. , คำแก้อุทธรณ์ของจำเลย และสำนวนพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อให้พิจารณาคำอุทธรณ์ตามบทบัญญัติใหม่ของรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 มาตรา 195 วรรคสี่
โดยบทบัญญัติดังกล่าวระบุว่า คําพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ มีคําพิพากษา ซึ่งการวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้ดําเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกา ซึ่งประกอบด้วย ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งผู้พิพากษานั้นต้องไม่เคยพิจารณาคดีดังกล่าวมาก่อน โดยให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติเลือกผู้พิพากษาจํานวน 9 คนเป็นองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ และเมื่อองค์คณะของศาลฎีกาดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้วให้ถือว่าคําวินิจฉัยนั้นเป็นคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ขณะที่หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้น ตอนนี้ได้มีการกำหนดประชุมปกติไว้เดิมอยู่แล้วในวันที่ 14 ก.ย.นี้ ซึ่งจะต้องรอดูว่าคู่ความจะส่งเอกสารเกี่ยวกับการอุทธรณ์คดีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งสองฝ่ายทันกำหนดนัดประชุมดังกล่าวหรือไม่ หากทันก็จะเสนอเรื่องยื่นอุทธรณ์ของ ป.ป.ช. เป็นวาระต่อที่ประชุมใหญ่พิจารณาตามขั้นตอนกฏหมายเพื่อเลือกผู้พิพากษา 9 คนตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้มาเป็นตัวแทนที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัยคำอุทธรณ์ ซึ่งที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาในปัจจุบันนี้มีจำนวนผู้พิพากษาศาลฎีกาและผู้พิพากษาอาวุโสของศาลฎีการวมทั้งสิ้น 166 คน แต่หากการรวบรวมเอกสารอุทธรณ์ไม่ทันกำหนดประชุมใหญ่ศาลฎีกาในวันที่ 14 ก.ย. ก็จะมีการเสนอกำหนดวันประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาอุทธรณ์อีกครั้ง

