มลทินในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 61
การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2561 มีข้อผิดพลาดที่สำคัญในวาระที่ 2 และ 3 ถ้าไม่รีบแก้ไขข้อผิดพลาดจะมีมลทินในต้นฉบับกฎหมายที่แท้จริง
ข้อบังคับปี พ.ศ. 2560 ที่ใช้บังคับในปัจจุบันนี้ มีข้อ 122 กำหนดไว้เช่นเดียวกันนี้เหมือนกับข้อบังคับเดิมๆ ของสภาที่ผ่านมาทุกประการ
ข้อ 122 “ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ให้สภาพิจารณา เริ่มต้นด้วยชื่อร่าง คำปรารภ แล้วพิจารณาเรียงตามลําดับมาตรา และลงมติเรียงตามลําดับมาตราทีละมาตราจนจบร่าง ....”
จะเห็นได้ว่าข้อบังคับกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วในวาระที่สอง....จะต้องพิจารณาและลงมติเรียงลำดับมาตราทั้งที่มี “การแก้ไขและไม่แก้ไข” ที่ละมาตราจนจบร่าง เพราะสมาชิกสภาจะต้องลงมติว่า “เห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง” ทุกมาตราที่มี “การแก้ไขและไม่แก้ไข” และประธานจะต้องประกาศให้ทราบผลการลงมติโดยเปิดเผยและต้องบันทึกไว้ในรายงานการประชุมที่ประชาชนขอตรวจดูได้
แต่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 31 ส.ค. 2560 เวลาประมาณ 13.30-14.30 น. ปรากฏว่าท่านศาสตราจารย์พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ให้เลขาธิการสภาอ่านเฉพาะมาตราที่คณะกรรมาธิการวิสามัญมีการแก้ไขเพื่อการลงมติเท่านั้น แต่มาตราที่กรรมาธิการไม่มีการแก้ไขทุกมาตรา ท่านประธานจะข้ามไปไม่อ่านให้สมาชิกพิจารณาและลงมติในมาตรานั้นๆ ทั้งๆที่ไม่มีข้อบังคับข้อใดเลยยกเว้นไว้ให้กระทำได้ ผลจึงมีหลายมาตราที่ไม่มีการอ่านให้ลงมติ นับตั้งแต่ชื่อร่างพระราชบัญญัติ คำปรารภ ดังนี้
มาตรา 1 ชื่อร่างพระราชบัญญัติ
มาตรา 2 วันใช้บังคับ
มาตรา 3 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ให้ตั้งเป็นจำนวน รวมทั้งสิ้น 2,900,000,000,000 บาท ....
มาตรา 61 งบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ให้ตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เป็นจำนวน 260,818,932,200 บาท .....
มาตรา 63 งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการในพระองค์ ให้ตั้งเป็นจำนวน 4,196,323,500 บาท ...
มาตรา 64 อำนาจสั่งจ่ายเงินแผ่นดิน
มาตรา 65 ผู้รักษาการ ทีเป็นมาตราสุดท้ายที่ตามข้อบังคับกำหนดให้ต้องพิจารณาลงมติจนจบถึงมาตราสุดท้ายนี้ แต่ท่านประธานให้อ่านและไปจบลงที่มาตรา 62 ที่เป็นงบประมาณสภากาชาดไทยและขอลงมติในวาระที่สามเลย ทั้ง ๆ ที่ยังเหลืออีกสามมาตรา คือมาตรา 63 งบประมาณส่วนราชการในพระองค์ มาตรา 64 และมาตรา 65 ที่เป็นมาตราสุดท้ายที่ตามข้อบังคับจะต้องอ่านให้ลงมติจนจบถึงมาตรานี้
การผิดพลาดการพิจารณาในวาระที่สองที่พิจารณาไม่ครบถ้วนนี้จึงเป็นผลให้มาตราดังกล่าวนี้ไม่ผ่านการลงมติของสภาอย่างครบถ้วน จึงมีผลกระทบตามมาถึงการลงมติในวาระที่สามอย่างสำคัญ เพราะแต่ละมาตราของกฎหมายงบประมาณรายจ่ายมีความสัมพันธ์กัน ที่แม้สภาจะลงมติในวาระที่สามว่าสมควรประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ก็สืบเนื่องมาจากผิดพลาดในวาระที่สองดังกล่าวมาแล้ว จึงเป็นผลให้การลงมติในวาระที่สามผิดพลาดตามไปด้วย
แต่ข้อผิดพลาดนี้ยังมีแนวทางทางแก้ไขตามข้อบังคับข้อ 128 ที่อาจจะดำเนินการทบทวนแก้ไขความผิดพลาดนี้ได้ แต่ต้องรีบแก้ไขโดยเร่งด่วนก่อนที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
อนึ่ง ในการดำเนินการที่สำคัญยิ่งยวดนี้ มีธรรมเนียมประเพณีราชนิติที่ศักดิ์สิทธิตามรูปแบบนี้ที่หลายท่านอาจจะไม่เคยเห็นและได้อ่าน คือปกหน้ากฎหมายที่แท้จริง ดังนี้
ถ้าท่านประธานสภา ฯ ไม่รีบดำเนินการแก้ข้อผิดพลาดดังกล่าวโดยรีบด่วน และท่านนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยก็จะต้องมีปกหน้าตามรูปแบบนี้ และจะเป็นมลทินในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2561 และที่ได้เกิดขึ้นแล้วในงบประมาณปี พ.ศ. 2560 ที่ยังใช้บังคับอยู่ขณะนี้ ที่สภาแห่งนี้และคณะรัฐมนตรีร่วมกันตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กระทำไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และอาจมีความรับผิดถึงขั้นพ้นจากตำแหน่งถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตต้องชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยที่มีระยะเวลาความรับผิดนี้ถึง 20 ปีตามมาตรานี้ ครับ