สร้างโอกาสให้เกษตรไทย ในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก แต่ประเทศไทยก็ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ส่งผลให้ไทยต้องสูญเสียรายได้จากการนำเข้าเชื้อเพลิงมากถึงปีละกว่า 1.3 ล้านล้านบาท ดังนั้นจะทำอย่างไรจึงจะลดการนำเข้าและหันมาพึ่งพาพลังงานทดแทนในประเทศได้
ที่ผ่านมา นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) บอกตลอดเวลาว่า ประเทศไทยต้องส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน ดูประเทศบราซิลเป็นตัวอย่างวันนี้ไม่ได้ซื้อน้ำมันจากภายนอกเลย แต่ใช้พลังงานจากเอทานอล 100 เปอร์เซ็นต์ คนบราซิลจึงร่ำรวย ถ้าประเทศไทยรู้จักส่งเสริมพืชพลังงานให้มีราคาดี นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำเกษตรกรรม เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ลดพื้นที่ในการปลูกข้าว แล้วนำพื้นที่ที่เหลือมาปลูกอ้อย ยาง ปาล์ม สนับสนุนให้สินค้าเกษตรมีความสำคัญยิ่งกว่าน้ำมัน มีราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ สินค้าเกษตรก็จะกลายเป็นทรัพย์สมบัติของชาติที่มีค่ามหาศาล
การก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 2558 เป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับประเทศไทย ถ้าสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มมาตรฐานให้กับสินค้า ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้กับเกษตรกรไทย สร้างโอกาสให้กับคนไทยได้จับมือกับเพื่อนบ้านในการขยายพื้นที่ทำกินออกไปทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา พม่า AEC ก็จะเป็น win win game
ดูตัวอย่างการเปิด FTA(Free-trade agreement ) ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ประเทศไทยได้ดุลการค้าหมด โดยเฉพาะเกษตรได้ดุลการค้า 100 เปอร์เซ็นต์ จะเสียดุลก็เรื่องเดียวคือพลังงาน ที่ประเทศไทยยังต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าเป็นมูลค่ากว่า 3,074 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2554โดยมูลค่าที่ประเทศไทยส่งสินค้าออกไปยังพม่ารวม 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ซื้อกลับมา 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แนวทางแก้ไขควรจะทำอย่างไร คำตอบคือเราต้องปลูกพืชพลังงาน แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นจะต้องดูเรื่องพื้นที่ปลูกอาหารก่อน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพูดอยู่เสมอว่า ประเทศไทยจะต้องเป็น Kitchen of the world หรือครัวของโลก นั่นหมายความว่า ผลผลิตต้องมีคุณภาพและมีจำนวนมากพอ เรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆจึงจำเป็นสำหรับการผลิตอาหาร
และที่สำคัญระบบชลประทานต้องดี จากการติดตามข่าวได้ทราบว่ารัฐบาลกำลังหาเงิน 350,000 ล้านบาทเพื่อมาแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐจะไม่ได้ดูแลแค่ไม่ให้น้ำท่วมเท่านั้น แต่มองเลยไปถึงการบริหารจัดการน้ำให้เป็นประโยชน์กับเกษตรกรอีกด้วย
หากประเทศไทยมีระบบชลประทานที่ดี มีการพัฒนาพันธุ์ข้าว ให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 800 กิโลกรัมต่อไร่ มีการทำการเกษตรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น มีเครื่องเพาะกล้า เครื่องดำนา เครื่องหว่านปุ๋ย และเครื่องเก็บเกี่ยว พร้อมกระบวนการวิเคราะห์ดิน วิเคราะห์ใบพืช เพื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เหมาะสม
เรื่องเหล่านี้หากรัฐบาลมีการส่งเสริมอย่างจริงจังไปพร้อมๆกับการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงพื้นที่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นพื้นที่หลักในการผลิตพืชอาหาร เช่น การปลูกข้าว กำหนดให้ทำในเขตพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง 28 ล้านไร่ หากได้พันธุ์ข้าวที่ดี เครื่องมือทางการเกษตรที่ดี จะทำให้มีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 800 กิโลกรัม ในหนึ่งปีผลิตได้ 2 รอบ จะเท่ากับใช้พื้นที่ทำนารวม 56 ล้านไร่ให้ผลผลิตข้าวรวมปีละ 45 ล้านตัน ซึ่งยังมากกว่าผลผลิตรวมในปัจจุบันที่ผลิตจากพื้นที่ทำนาปี 58 ล้านไร่ นาปรัง 12 ล้านไร่ ที่ให้ผลผลิตอยู่ที่ 34 ล้านตัน
ฉะนั้น พื้นที่ข้าวนาปีจะเหลืออีก 30 ล้านไร่ ก็สามารถนำไปส่งเสริมการเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมประเภทอื่น เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลังหรือพืชอื่นๆ ที่อยู่ในความต้องการของตลาด
วันนี้ประเทศไทยมีนักวิจัยที่เก่งมากมาย ถ้าสามารถส่งผ่านเทคโนโลยีต่างๆ สู่เกษตรกรได้เร็วประเทศไทยก็จะสามารถสู้กับประเทศอื่นๆได้ ยกตัวอย่างปาล์มน้ำมันสายพันธ์ใหม่ ซี.พี.เทเนร่า วันนี้นอกจากจะให้ผลผลิตสูงจาก 2.8 ตัน/ไร่ เป็น 4 ตัน/ไร่แล้วยังมีความต้านทานต่อโรคและแมลง และที่น่าสนใจกว่านั้น คือเปอร์เซ็นต์น้ำมันยังสูงถึง 22 % จากเดิมอยู่ที่ 17 % และขณะนี้ทีมวิจัยของคุณเอนก ลิ่มศรีวิไลกำลังพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตถึง 5 ตัน/ไร่ เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงถึง 25 %
นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์มให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์โอลิโอเคมิคอลจากเมล็ดในของปาล์มนำมัน เพื่อผลิตเป็นเครื่องสำอางค์ อาหารเสริม วิตามินอี ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับปาล์มน้ำมันอีกทางหนึ่ง
การผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) มหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมมือกันคิดค้นและพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับประเทศไทย
รัฐบาลต้องเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาเรื่องเหล่านี้ นอกจากพัฒนาพันธุ์พืช, วิธีการทำเขตกรรม ให้ชัดเจนแล้วยังต้องออกเป็นคู่มือ จัดให้มีรายการทีวี รายการวิทยุเกี่ยวกับการเกษตรแล้วนำเรื่องดีๆเกี่ยวกับเกษตรกรรมจากเกษตรกรคนเก่งส่งผ่านให้เกษตรกรโดยรวมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเกษตรกรได้มากเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า
ความสำเร็จในเมืองไทยจะพร้อมขยายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีฐานทรัพยากรที่ดินจำนวนมาก ประเทศไทยเราเองจะได้วัตถุดิบคุณภาพมาแปรรูป เพิ่มมูลค่าและเป็นการขยายโอกาสให้เพื่อนบ้านของเราด้วย
นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการ เพราะลงทุนครั้งเดียวแต่ช่วยสร้างงาน สร้างโอกาส สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกร ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตอันใกล้
