‘อาชีพเรา ไม่ควรถูกรังแก’
“ขนาดคนทำงานในกระทรวงที่เต็มไปด้วยชนชั้นหัวกะทิ ศ.เกียรติคุณ อาจารย์ (บางคนอายุคราวลูกหลาน คนแก่หัวหงอกหัวดำเข้าหายังต้องยกมือไหว้) ยังโดนรังแกจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า แล้วผู้อ่อนด้อยโอกาสทางการศึกษาที่อยู่ห่างไกลจะเป็นอย่างไร?”

ทุก ๆ วันในรอบสัปดาห์จะได้รับเรื่องร้องเรียนอยู่เสมอในทุกช่องทางของการสื่อสาร บ้างเป็นจดหมายเขียนด้วยลายมือบอกเล่าความเดือดร้อน จดหมายอิเล็กทรอนิส์ (อี-เมล์) เฟซบุ๊ก แอพพลิเคชันไลน์ โทรศัพท์สำนักงาน (มีเพื่อนร่วมงานช่วยอนุเคราะห์ดำเนินการ) บ้างก็นัดหมายเดินทางมาด้วยตัวเอง บ้างก็ฝากเอกสารมาทางเพื่อน ๆ พี่ ๆ คนรู้จัก แบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยตัวตน (ส่วนใหญ่) หลากสาขาอาชีพ รวม ๆ น่าจะหลายร้อย
ค่ำวันที่ 28 ก.ย. 2560 ขณะขับรถกลับบ้าน ได้รับโทรศัพท์จากข้าราชการคนหนึ่งในกระทรวงสาธารณสุข บอกเล่าปัญหาธรรมาภิบาลในองค์กร เล่นกันเป็นทีมตั้งแต่ระดับจังหวัดยันกระทรวงฯ และเดือดร้อนจากการถูกผู้บังคับบัญชาหาเรื่องรังแก เนื่องจากไปรู้เห็นเรื่องไม่ถูกต้อง เล่าปรับทุกข์ว่าอาชีพนี้เหนื่อยหนักนอกจากงานประจำข้างใน ต้องออกปฏิบัติงานนอกสถานที่ พอถูกจับตา ผู้บังคับบัญชาก็หาเรื่องจับผิดด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ใหญ่เรียกมาขู่ บีบให้อยู่เฉย ๆ อย่าเที่ยวเอาความในไปบอกใคร ไม่งั้นจะโดนเล่นงาน ทำให้กดดัน ท้อแท้ กับระบบ สุดท้าย บอกด้วยเสียงไม่สู้ดีว่า “อาชีพอย่างเรา ไม่ควรถูกรังแกนะคะพี่”
รำพึงในใจ! ขนาดคนทำงานในกระทรวง ที่เต็มไปด้วยชนชั้นหัวกะทิ ศ.เกียรติคุณ อาจารย์ (บางคนอายุคราวลูกหลาน คนแก่หัวหงอกหัวดำเข้าหายังต้องยกมือไหว้) ยังโดนรังแกจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า แล้วผู้อ่อนด้อยโอกาสทางการศึกษาที่อยู่ห่างไกลจะเป็นอย่างไร ?
เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านจำนวนหนึ่งใน อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ว่า ที่ดินทำกินของพวกเขาถูกมหาเศรษฐีตระกูลดังของประเทศออกโฉนดฮุบเอาไปทำการเกษตรและสนามกอล์ฟ ทำให้เดือดร้อน นอกจากเอาที่ชาวบ้านยังฮุบที่สาธารณะไปออกโฉนดบริเวณเชิงเขาเข้าไปด้วย
ข้าพเจ้าเดินทางไปตามหาผู้ร้องเรียนใน อ.สวนผึ้ง และเดินทางต่อไปยังวัดแห่งหนึ่งใน อ.ปากท่อ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ราวสองสัปดาห์ถัดมา เดินทางย้อนกลับไปหาชาวบ้านกลุ่มนั้นอีกครั้ง และก็ทราบว่า 1 ในผู้ร้องเรียนถูกยิงเสียชีวิต ได้ความว่า สมุนนายทุนโกรธแค้นที่ชาวบ้านรายนี้เอาข้อมูลมาบอกข้าพเจ้า ก็เลยถูกตามไปเก็บ หลังจากถูกเปิดโปงองค์กรตรวจสอบเข้าไปตรวจสอบปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์ สรุปให้เพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบบางแปลง ชาวบ้านได้ที่ดินคืน แต่ต้องสูญเสียชีวิตไปหนึ่งคน พวกที่เหลือต้องอยู่แบบระวัง ข้าพเจ้าทำได้เพียงหิ้วพวงหรีดไปแสดงความอาลัยในงานศพ ยังจดจำใบหน้าของชาวบ้านรายนั้นได้จนถึงทุกวันนี้
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
ก่อนหน้านี้นานมาก ชาวบ้านใน อ.พรเจริญ อ.โซ่พิสัย อ.บุ่งคล้า อ.ปากคาด อ.เซกา อ.บึงโขลงหลง จ.หนองคาย (ปัจจุบันบางส่วนขึ้นตรงกับ จ.บึงกาฬ) ถูกกลุ่มทุนการเมืองเข้าไปกว้านซื้อที่ดิน ออก น.ส. 3 ก. ทับที่ดินทำกินนับหมื่นไร่ มีการร้องเรียน และข้าพเจ้าลงไปกินนอนทำข่าว ก็มีปัญหาถูกรังแกโดยอำนาจรัฐ+อำนาจทุนที่เหนือกว่าเช่นกัน หรืออีกหลายกรณีที่ไม่ได้ยกมา
เอาเข้าจริงแล้ว กลไกของรัฐในการรับเรื่องร้องเรียน (แม้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติ หน้าที่ของรัฐไว้โก้หรู-มาตรา 61 ,มาตรา 63) แทบทุกแห่ง (แม้แต่เอกชน) ยังมีปัญหาในตัวเอง ทั้งในเรื่องความไม่ปลอดภัยของผู้ร้อง การสนองตอบต่อปัญหาร้องเรียน ผู้ร้องกลายผู้ถูกสอบ ถูกฟ้องเป็นจำเลย ทำให้ข้อมูลไหลออกไปสู่ภายนอกองค์กรโดยเฉพาะสื่อที่เขาคิดคาดหวังว่าพอช่วยได้
ขณะที่ ผู้ถูกรังแก บางคนก็สู้ตามวิถีทาง บางคนก็เปิดเผย บางคนก็เลือกที่จะอยู่เฉย ๆ เพราะมีเงื่อนไขข้อจำกัดบางอย่าง จำก้มหน้ารับสภาพทน กระนั้น บางคนก็เลือกที่จะตายเอาดาบหน้า
อย่างที่บอก โลกนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ก็จริง แต่ผู้สุจริตและด้อยกว่า ไม่ว่าอาชีพใด ชนชั้นใด ไม่ควรถูกรังแก ในทุกกรณี ไม่ใช่หรือครับ
