‘สมิทธ’ ห่วงภัยแล้ง ปล่อยน้ำทิ้งต้องระวัง ชี้น้ำในเขื่อนมีน้อยกว่าที่เห็น
'สมิทธ ธรรมสโรช' เตือนอย่าปล่อยน้ำเกินปริมาณที่ไหลออกสู่ทะเลตามธรรมชาติ แจงปีนี้ฝนน้อย บริหารจัดการดี น้ำไม่ท่วมกทม. แนะผุด "พิมพ์เขียว" ช่วยเหลือนักลงทุน
ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หนึ่งในกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวกับศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา ถึงสถานการณ์น้ำของประเทศไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะนโยบายการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ว่า การระบายน้ำจากเขื่อนเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เนื่องจากปีนี้มีอุณหภูมิสูง ฤดูร้อนจะร้อนจัดไปถึงพฤษภาคม และการระเหยของน้ำจะมีมาก การระบายน้ำในเขื่อนจึงอิงตามเกณฑ์การบริหารน้ำ (Rule Curve) ต่ำสุดไม่ได้แล้ว เนื่องจากน้ำในเขื่อนจะต้องมีเก็บไว้เพียงพอในยามที่น้ำทะเลหนุน และทำการเกษตรด้วย
"น้ำในเขื่อนที่เราเห็นว่า มีเหลืออยู่กว่า 30% นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่น้ำทั้งหมด แต่ข้างใต้น้ำเป็นกรวดทรายที่ตกตะกอนอยู่ตามธรรมชาติ ฉะนั้น ปริมาณน้ำจริงๆ จะมีน้อยกว่าที่เรามองเห็น และเมื่อถึงหน้าแล้งที่น้ำทะเลหนุนเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา เราอาจไม่มีน้ำเพียงพอในการดันน้ำทะเลออกไป ซึ่งจะเกิดปัญหาน้ำเค็มสูง และที่อันตรายหากหนุนสูงมากไปถึงคลองประปา จะส่งผลให้คน 10 กว่าล้านคนจะไม่มีน้ำจืดใช้ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง"
ดร.สมิทธ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการป้องกันสถานการณ์ดังกล่าว ควรบริหารจัดการน้ำให้เหลือ 40% เป็นอย่างน้อย ยิ่งโดยเฉพาะในยามนี้ที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า จะมีฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายนหรือไม่ และอาจต้องรอถึงปลายเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่น้ำจะไหลเข้าเขื่อน
"สาเหตุที่สถานการณ์น้ำแล้งเป็นเรื่องน่าห่วง เพราะก่อนหน้านี้เราปล่อยน้ำมากกว่าปริมาณน้ำที่ระบอยออกสู่อ่าวไทยตามธรรมชาติ น้ำที่ระบายออกตามธรรมชาติ 3-4 เขื่อนลงสู่แม่น้ำมีปริมาณไม่ถึง 100 ล้านลบ.ม. แต่เราปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลออกวันละ 100 ล้านลบ.ม. การปล่อยน้ำต้องมีจังหวะและมีการประสานงานระหว่าง 3 เขื่อนใหญ่ ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ให้ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาไม่มากกว่าปริมาณน้ำที่ไหลออกสู่ทะเล ไม่อย่างนั้นน้ำก็จะท่วมพื้นที่ลุ่มและเกิดความเสียหายได้"
ดร.สมิทธ กล่าวต่อว่า นอกจากสถานการณ์น้ำท่วม และน้ำแล้งแล้ว สิ่งที่น่าห่วงอีกประการ คือ พายุฤดูร้อน ที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะที่ระบบเตือนภัยในบ้านเรายังไม่มีประสิทธิภาพเท่าใดนัก การกระจายข่าวล่วงหน้ายังมีน้อย ก่อนหน้านี้ข้อมูลการพยากรณ์ของสหรัฐอเมริกาเรื่องสถานการณ์พายุ และปริมาณน้ำฝนในปีนี้ ระบุว่าจะมีปริมาณฝนมาก แต่หลังจากนั้นสถาบันการพยากรณ์ที่ประเทศญี่ปุ่นได้ให้ข้อมูลใหม่ว่า ปริมาณน้ำฝนจะไม่มากเท่าที่สหรัฐอเมริกาได้พยากรณ์ไว้
"เมื่อปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าว่าปีที่แล้ว ผนวกกับถ้ามีฝนตกหรือน้ำไหลเข้าเขื่อนเท่ากับหรือน้อยกว่าปีที่แล้ว และรัฐบาลมีการบริหารจัดการน้ำที่ดี มีประสิทธิภาพ ปล่อยน้ำให้ผ่านกทม. ที่มีระบบระบายน้ำดีอยู่แล้ว น้ำจะไม่ท่วมกทม. ซึ่งสิ่งที่น่าห่วงอีกประการ คือ ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นข้อมูลจากองค์การนาซ่า โดยประเทศไทยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ที่เขื่อนศรีนครินทร์ตั้งอยู่"
ในส่วนที่นิคมอุตสาหกรรมมีมาตรการป้องกันน้ำท่วม โดยการสร้างเขื่อนดินปิดล้อมนิคมฯ นั้น ดร.สมิทธ กล่าวว่า จะทำให้น้ำที่ต้องผ่าน หรือท่วมขังบริเวณนั้นไหลลงสู่ด้านล่างมากกว่าปกติ เช่นนั้นแล้ว การบริหารจัดการน้ำต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามนิคมอุตสาหกรรม และโรงงานบางแห่งยังมีข้อกังวลว่าภาครัฐจะมีมาตรการหรือการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง เช่น การสร้างถนน ให้สามารถส่งวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานและนำผลิตผลออกจากโรงงานไปสู่ท่อเรือ หรือสนามบินได้
เมื่อถามว่าที่ผ่านมามักโดนเพ่งเล็งอยู่เสมอว่าเป็นแกะดำ ชอบออกมาให้ข่าวในทางลบต่อรัฐบาลนั้น ดร.สมิทธ กล่าวว่า เพราะตนเห็นว่า ข้อมูลยังไม่มีความชัดเจน จะผันน้ำออกทางตะวันออกหรือตะวันตก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ประชาชนรออยู่
"ผมไม่ได้ตำหนิรัฐบาล ผมอยากจะช่วยเหลือ แต่บางครั้งผู้บริหารจัดการน้ำของรัฐบาลก็ให้ข่าวแก่ประชานที่ได้รับผลกระทบไม่พอเพียง และไม่มีประสิทธิภาพในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ล่วงหน้า ทำให้ประชาชนลำบากใจ" ดร.สมิทธ กล่าว และว่า หากสามารถทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ก็จะเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนด้วยเช่นกัน แต่หากประชาชนยังไม่เชื่อมั่น ใครจะเข้ามาลงทุนในประเทศเรา ฉะนั้นรัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ดีที่สุด ไม่ใช่มีแผนอย่างเดียว
กรรมการ กยน. กล่าวด้วยว่า เรื่องลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น รัฐบาล กยน. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ต้องมีแผนหรือพิมพ์เขียวช่วยเหลือนักลงทุนที่ชัดเจน ทั้งนี้ ตนเป็นนักวิชาการก็มีความคิดเห็นไปคนละอย่าง ตอนนี้พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะรัฐบาลตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ขึ้นมา ซึ่งใหญ่กว่าและมีอำนาจตัดสินใจทับความคิดเห็นของตน แม้ตอนนี้จะยังเป็นที่ปรึกษาอยู่ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ
