ชง กสทช.สั่ง บ.มือถือ “ห้ามกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน” ก่อนได้ข้อสรุปร่วม
อนุฯคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม เสนอ กสทช.สั่งบริษัทมือถือ “ห้ามกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน” ก่อนได้ข้อยุติร่วม ประสานไอซีทีออก พ.ร.ก.ดูแลตู้เติมเงินออนไลน์ สำรวจเข้ม “ตู้อมเงิน”
วันที่ 26 มี.ค.55 ที่สำนักงาน กสทช. คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม แถลงข่าว “มติต่อกรณีปัญหาพรีเพดและตู้เติมเงินออนไลน์” ใจความว่าอนุกรรมการฯ เสนอให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ออกคำสั่งทางปกครองต่อบริษัทมือถือ หลังพบแม้กรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) มีมติห้ามกำหนดวันหมดอายุโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการล่วงหน้า(พรีเพด) หรือ บัตรเติมเงิน แต่ยังพบการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยด้านปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์ ให้ประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) ดูแลตู้เติมเงินออนไลน์เพื่อรองรับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยุคหลอมรวม และเตรียมสำรวจสถิติอมเงินของตู้แต่ละประเภทด้วย
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีหารือปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์ และกำหนดระยะเวลาการใช้บริการพรีเพด โดยกรณีพรีเพดนั้นมีความเห็นว่า จากการที่ที่ประชุม กทค. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. เคยมีมติภายใต้การหารือร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และต่อมาได้ขยายระยะเวลาให้อีก 60 วันเพื่อให้เวลาบริษัทในการแสดงต้นทุนและเสนอระยะเวลาขั้นต่ำในการกำหนดระยะเวลาการใช้บริการพรีเพด ซึ่งเท่ากับว่าจะครบกำหนดประมาณวันที่ 8 พ.ค.นี้
โดยในระหว่างนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดทุกรายต้องไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน และหากผู้บริโภครายใดถูกตัดบริการเนื่องจากถูกกำหนดระยะเวลาการใช้งาน ขอให้ร้องเรียนที่ กลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท.เดิม หมายเลข 1200 กด 1
“เบื้องต้นพบว่าแม้ กทค.จะมีมติดังกล่าว แต่ยังได้รับเรื่องร้องเรียน ตั้งแต่ 8 ก.พ ถึง 19 มี.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการที่ถูกกำหนดวันใช้งาน ถูกยึดเงิน ถูกระงับเลขหมาย และถูกยกเลิกบริการ 59 ราย เป็นของบริษัทเอไอเอส 12 กรณี ดีแทค 21 กรณี ทรูมูฟ 1 กรณีและฮัทช์ 24 กรณี จึงขอให้ กสทช.มีคำสั่งทางปกครองกับบริษัทที่ฝ่าฝืนมติ” น.ส.สารี กล่าว
น.ส.สารี กล่าวอีกว่า ประเด็นที่หนึ่ง กรณีปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์ ที่ประชุมได้หารือกว้างขวาง เนื่องจากเป็นรูปแบบที่จะขยายตัวมากขึ้น เพราะบริษัทมือถือต้องการลดต้นทุนการเติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือผู้มีรายได้น้อย โดยมีมูลค่าทางการตลาดกว่า 9,000 ล้านบาทต่อเดือน ที่ประชุมจึงได้พิจารณาด้านกฎหมายแล้วพบว่าเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงได้มีมติ 4 ประเด็นคือ ให้สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือถึงกระทรวงไอซีที เพื่อขอความร่วมมือในการออก พ.ร.ก.ที่ครอบคลุมถึงการใช้บริการตู้เติมเงินออนไลน์ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินโดยตรง
“กระทรวงไอซีทีมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการออก พ.ร.ก.เพื่อควบคุมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามประเภทธุรกิจที่เห็นสมควร เช่น ออก พ.ร.ก.ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 ซึ่งให้อำนาจแบงค์ชาติดูแลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับช่องทางการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น M-pay ,ทรูมันนี่ แต่ก็ยังมีช่องโหว่เนื่องจากตู้เติมเงินออนไลน์ถูกตีความว่าไม่ถือเป็นช่องทางการชำระเงิน แต่เป็นตัวแทนการซื้อขายสินค้า โดยมีแอร์ไทม์เป็นสินค้า จึงไม่เข้าข่าย พ.ร.ก.ฉบับนี้ อีกทั้งตู้เติมเงินออนไลน์มีลักษณะของการหลอมรวมธุรกิจหลายประเภท ทั้งเกมออนไลน์ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ จึงไม่ใช่การคิดสั้นๆแค่ให้ กสทช.ไปคุม แต่คงต้องพิจารณาระยะยาวเพื่อรองรับการหลอมรวมของธุรกิจด้วย” นางสาวสารีกล่าว
ประเด็นที่สองคือ การทำความเห็นเสนอให้ กทค.เพื่อพิจารณาดำเนินการออกประกาศหรือมาตรการดำเนินการเรื่องนี้ เนื่องจาก กทค.เคยมีมติเมื่อการประชุมวันที่ 17 ม.ค.55 ว่า “การประกอบธุรกิจตู้เติมเงินออนไลน์ และการเป็นตัวแทนขายบัตรเติมเงินและบัตรโทรศัพท์ต่างประเทศ ไม่ถือเป็นกิจการโทรคมนาคมที่ต้องได้รับใบอนุญาต อย่างไรก็ตามผู้ดำเนินการมีลักษณะเป็นตัวแทนรับชำระเงินของผู้ประกอบการโทรคมนาคม จึงต้องมีสัญญาและความรับผิดชอบต่อต่อผู้ใช้บริการในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้บริการนี้”
ซึ่งธุรกรรมตู้เติมเงินออนไลน์อาจเข้าข่ายตัวการตัวแทนตามกฎหมาย ที่ตัวการต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนในการละเมิด อีกทั้งตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 มาตรา 27(13) ให้อำนาจ กสทช.ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการ...
“อนุกรรมการด้านกฎหมายให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องของตัวแทน ดังนั้น กสทช.น่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้ จึงขอให้พิจารณาข้อกฎหมายและภาระในการพิสูจน์หลักฐานควรเป็นของผู้ประกอบการ หรือระหว่างสูญญากาศนี้หากมีเรื่องร้องเรียนก็ควรถือเป็นปัญหาของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมด้วย” นางสาวสารีกล่าว
ประเด็นที่สามคือ มอบหมายให้คณะทำงานพัฒนาและยกระดับ ประกาศกฎเกณฑ์ และกติกา ศึกษาแนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหาตู้เติมเงินออนไลน์ด้วย
ประเด็นที่สี่คือ ให้มีการสำรวจปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการตู้เติมเงินออนไลน์ ในการใช้บริการโทรคมนาคมในประเด็นต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้บริการ ความถี่ของการถูกกินเงิน การบันทึกข้อมูล ประสิทธิภาพตู้เติมเงินแต่ละประเภท เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าตู้ระบบใดมีประสิทธิภาพการให้บริการมากที่สุดและแจ้งให้กับผู้บริโภคทราบ .