ความปรองดอง กับ ความถูกต้อง คือเป้า “พ.ท.” = เพื่อไทย และ เพื่อทักษิณ
ขณะนี้ มีความมุ่งหวังของคนไทยทุกคน ที่อยากเห็นแผ่นดินไทยที่เรารัก มีแต่ความสงบสุข และสันติสุขร่มเย็น
“ความปรองดอง” หรือ “ความรู้รักสามัคคี” เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข
...เรื่องบางเรื่องที่เป็นความผิดทาง “การเมือง” ของชนหมู่มาก “ยอมรับการกระทำผิด” และ “ให้อภัย” น่าจะช่วยทำให้เรื่องสงบ เกิด สันติสุข
...เรื่องบางเรื่องที่เป็นความผิดทาง “อาญา” ของคนบางคน หากปล่อยให้ผ่านไป อาจกลายเป็นกติกา “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” อาจกลายเป็นสังคมที่ขอให้รวบรวมพรรคพวกได้มาก สร้างความวุ่นวายได้มาก ก็ทำให้การทำผิดกฎหมายได้ และทำเรื่องผิดให้กลายเป็นเรื่องถูกได้ อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ทำให้เกิดการปรองดอง แต่กลับไปเริ่มต้นสร้างปัญหาใหม่
ผมเป็นคริสเตียน มีหลักการความคิดในเรื่องนี้หลายประเด็น ดังนี้
1. การให้อภัยเป็นหลักสำคัญของการปรองดอง พระเจ้าให้เราเรียนรู้ที่จะให้อภัยกัน เมื่อเปโตรถามพระองค์ว่า “ให้อภัยกี่ครั้งถึงจะพอ 7 ครั้งพอไหม ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “7 x 70 ครั้ง” และพระองค์ได้ตรัสสอนอีกว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่านทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม”
2.ความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ คือ การทำให้ “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” สูญเสียไป ในพระคัมภีร์ มีเหตุการณ์ซึ่งพระเยซูได้เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกพิราบเสียพระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ถ้ำของพวกโจร”
ในยุคนั้น พระวิหาร เป็นศูนย์กลางคำสอนสำหรับจรรโลงคุณธรรมและจริยธรรมให้กับประชาชน สังคมจะอยู่ได้อย่างไร ยุคนี้รัฐบาลก็เป็นศูนย์รวมอำนาจการบริหาร ก็มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมในแผ่นดินผ่านกระทรวงยุติธรรม
หากผู้คนในสังคม ไม่สนใจคุณธรรมหรือจริยธรรม การโกงกัน ก็สร้างประโยชน์ให้คนกลุ่มหนึ่ง บนความเสียหายต่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง การโกงชาติ ก็เป็นการสร้างความร่ำรวยผิดปรกติให้กับคุนกลุ่มหนึ่ง บนความเสียหายของประเทศชาติ หรือ ประชาชนโดยส่วนรวม หรือแม้อาจไม่เสียหายต่อคนในยุคนี้ แต่อาจสะสมภาระหนี้ให้รุ่นลูกหลาน หรือดึงเอาสมบัติชาติของลูกหลานมาใช้เกินควร
เมื่อมีคนเอาบริเวณพระวิหาร เพื่อค้าขาย หรือตั้งโต๊ะรับแลกเงิน รวมทั้งโต๊ะขายนกพิราบ ให้เป็นการค้าบุญบาปนั้น ก็ทำให้พระวิหารเสื่อมเสีย ผู้คนอาจเสื่อมศรัทธา ขาดการจรรโลง “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” แล้วสังคมจะสงบสุขได้อย่างไร
จึงตีความได้ว่า แม้พระองค์จะสนับสนุนให้ คนต่อคน ประนีประนอมกัน ให้อภัยกัน แต่ความถูกต้องชอบธรรมกับความบาปนั้น ก็ยังคงต้องแยกแยะให้เห็นชัด จะได้ไม่มีการกระทำผิด หรือการโกงกันต่อไปอีก
3.ผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษ ต้องแสดงออกก่อนว่า “รู้สำนึกถึงความผิด” ที่ได้กระทำ และ “ขออภัยโทษบาป”ในพระคัมภีร์ มีหลักคำสอนอยู่ว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” แต่ถ้าไม่เริ่มต้นจาก (1) ความรู้ว่าการกระทำที่ทำไปนั้นเป็นความบาป (2) สารภาพความผิดบาปนั้น (3) ขอประทานอภัย และ (4) กลับใจใหม่จากทางบาป ก็คงเป็นไปไม่ได้ ที่จะเกิดการกลับใจมาสู่ทางบริสุทธิ์ และยากที่จะได้รับการโปรดชำระความผิดบาปไปได้
โดยหลักการแล้ว จึงน่าจะแบ่งโทษความผิดเป็น 2 ลักษณะ คือ โทษความผิดการเมือง กับ โทษความผิดอาญา โดย
1. โทษความผิดการเมือง ควรให้อภัยทุกฝ่าย มักเป็นความผิดจากคนหมู่มาก ทำไปตามกระแส หรือ ทำตามอารมณ์ หากไม่ให้อภัย เรื่องก็มีโอกาสบานปลายไม่มีสิ้นสุด น่าจะเริ่มตั้งแต่ 2547 ที่มีการชุมนุมของคนหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็นความผิดในการปิดจราจร บุกรุกสถานราชการ บุกรุกสนามบิน บุกรุกย่านอนุเสาวรีย์ บุกรุกถนนผ่านฟ้า บุกรุกย่านราชประสงค์ พระราม 4 การเผายางสร้างควันรมโรงพยาบาล ฯลฯ ไม่ว่าเป็นการกระทำโดยมวลชนเสื้อเหลือง หรือ เสื้อแดง ก็ควรให้อภัย เลิกรากันไป และกลับมาปรองดองคืนดีต่อกัน
2. โทษความผิดอาญา ควรให้ความเป็นธรรม พระเยซูตรัสสอนว่า “อย่าสาบานเลย...จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว” ความผิดที่ผูกโยงกับการเมือง ตั้งแต่การประท้วงระบอบทักษิณ การประท้วงการปฏิวัติ ความผิดใดๆที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ 2549 หรือ จะถอยไป 2547 ก็ตาม ก็ควรสะสาง ให้เลิกรา แต่หากเป็นคดีความทางอาญา ซึ่งเกิดก่อนการปฏิวัติ คงต้องมาดูกันด้วยการให้ความเป็นธรรมว่า ถูกผิดอย่างไร
หากความผิดตามหลักฐานที่ได้รวบรวมมาโดย คตส. เป็นหลักฐานเท็จ สร้างขึ้นเพื่อใส่ร้ายอดีตนายกฯ ก็ควรเอาผิดต่อ คตส. และให้คดีดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด
แต่หากความผิดตามหลักฐานนั้นๆ เป็นหลักฐานจริง ก็แสดงว่า อดีตนายกฯมีความผิดจริง ซุกหุ้นจริง ก็ควรที่จะให้มีการตัดสินโทษกันอย่างเที่ยงธรรม
เท่าที่ติดตามดูข่าว อาจมีประเด็นง่ายๆ เช่น ลูกทำหนังสือตั๋วสัญญาใช้เงินให้แม่ 4,500 ล้านบาท ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 ค่าซื้อหุ้นธ.ทหารไทย (TMB) จริงหรือไม่ ? ทั้งๆที่ลูกได้หุ้น TMB เพียง 150 ล้านหุ้น ซึ่งมีราคาเพียง 1,500 ล้านบาท แต่อีก 300 ล้านหน่วยที่ได้นั้น เป็นใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (TMB-C1) ซึ่งแม่ได้มาฟรี จะมาขายให้ด้วยมูลค่า 3,000 ล้านบาท ก็ออกจะดูน่าเชื่อตามศาลว่า เป็นการปลอมหนี้ เพื่อซุกหุ้นจริง
และเงินที่ศาลคืนให้นั้น บัดนี้ อยู่ที่อดีตผู้นำ หรือ บุคคลต่างๆ เช่น คุณ บรรณพจน์ คุณลูกๆทั้ง 2 ฯลฯ ซึ่งหากยังอยู่กับอดีตผู้นำเองเป็นส่วนใหญ่ ก็ป่วยการที่จะหาว่า ศาลไทยไม่ยุติธรรม
เช่นเดียวกับ โอกาสที่จะได้รับการยกโทษบาปผิดจากพระเจ้า การได้รับการยกโทษจากแผ่นดิน ก็เช่นกัน คือ การยอมรับความผิด การสารภาพความผิด และการขอขมา และ ขออภัยในความผิดที่ได้กระทำไป พร้อมกับการกลับใจที่จะไม่ทำความบาปอีกต่อไป
เช่นนี้ บ้านเมืองก็เข้าสู่การปรองดอง และจะเป็นประโยชน์ทั้งเพื่อไทย และเพื่ออดีตนายกฯทักษิณ ครับ
ที่มาภาพ : http://www.matichon.co.th/online/2011/09/13162295091316231517l.jpg
