เร่งทบทวนและมองหาตัวช่วยใหม่ๆ .. ในการจัดหา “เครื่องตรวจวัดความเร็ว”
จากข่าวการจัดหา “เครื่องตรวจวัดความเร็ว” ที่ถูกมองว่า “ไม่ได้ใช้งบปกติ” และนำเสนอว่ามีการตั้งราคาต่อเครื่องในวงเงินที่สูง แต่ที่ผ่านก็มีหลายหน่วยงานที่จัดซื้อในราคาต่อเครื่อง ตั้งแต่ 9 แสน-1 ล้านกว่าบาท ขึ้นกับประเภทของอุปกรณ์และคุณสมบัติในการใช้งาน (specification) https://www.isranews.org/isranews-news/60538-isranews-60538.html ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรตรวจสอบขั้นตอนความถูกต้องเพื่อให้เกิดความชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่เรื่อง “เครื่องตรวจวัดความเร็ว” ถูกนำมาสื่อสารเพื่อให้เข้าใจว่าปัญหาอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและสาเหตุจาก “ความเร็ว” ก็ไม่ใช่เรื่องหลัก รวมไปถึงการมีอุปกรณ์ตรวจจับความเร็วเพื่อบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า ถือว่าเป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อนและสาธารณะควรมีการรับรู้อย่างรอบด้าน
อุบัติเหตุทางถนน.. สูญเสียชีวิต กระทบต่อครอบครัว เศรษฐกิจและสังคม
แนวโน้มการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน จากข้อมูลเสียชีวิตที่ตรวจสอบจาก 3 ฐานข้อมูล (มรณบัตร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ บ.กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2554 ที่มีผู้เสียชีวิต 23,390 ราย จะลดลงอย่างช้าๆ จนเหลือ 19,479 ใน พ.ศ.2558 แต่ล่าสุด พ.ศ. 2559 จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้นเป็น 22,356 คน หรือเฉลี่ยวันละ 61 คน (เพิ่มขึ้น 14.8%) ถือได้ว่าอุบัติเหตุทางถนนยังคงเป็นปัญหาสำคัญและเร่งด่วนสำหรับประเทศไทย ทั้งในด้านผู้เสียชีวิตมีจำนวนมาก ยังพบว่าผู้พิการรายใหม่กว่าปีละ 5-6 พันคนที่ครอบครัว ชุมชนและสังคมต้องแบกรับภาระดูแลตลอดชีวิต ไม่นับรวมมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาท หรือ 6% GDP ที่ทำให้ประเทศชาติขาดโอกาสนำไปใช้พัฒนาได้อีกมากมาย (TDRI https://tdri.or.th/2017/08/econ_traffic_accidents/
“ขับเร็ว” สาเหตุหลักของอุบัติเหตุและความสูญเสีย :
ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ขับเร็วเป็นสาเหตุหลักของคดีอุบัติเหตุ โดยเฉลี่ยร้อยละ 20-25 แต่ถ้าเป็นการเกิดอุบัติเหตุบนถนนกรมทางหลวง กลับพบว่าส่วนใหญ่ (ร้อยละ 77) เกิดจาก “ความเร็ว” และนำไปสู่การเสียชีวิตถึงร้อยละ 64 (ข้อมูลระบบ HAIMS สำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง) ดังนั้น ถ้าคิดจากข้อมูล 3 ฐานที่มีคนไทยตาย 61 คน/วัน จะพบว่าในแต่ละวันมีผู้เสียชีวิตบนถนนที่มีสาเหตุจากขับรถเร็วเกี่ยวข้องถึง 12-15 คน
แม้ พรบ.จราจรทางบก 2522 จะกำหนดความเร็วในเขตเมืองถึง 80 กม/ชม.และนอกเขตเทศบาล 90 กม/ชม. แต่ในความเป็นจริงอุบัติเหตุที่เกิดในเขตเมือง เช่น ชนคนข้ามถนน ชนจักรยาน จักรยานยนต์ ถ้าเป็นความเร็ว 48 กม/ชม. โอกาสรอดถึง 80% แต่ถ้าความเร็วเพิ่มมาเป็น 64 กม/ชม. โอกาสเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 90 เพราะแรงปะทะที่เกิดขึ้นที่ความเร็ว 60 กม./ชม. เทียบเท่ากับ “ตกตึก 5 ชั้น” เลยทีเดียว (แต่ละปีคนเดินถนนเสียชีวิตเฉลี่ย 8% หรือ 1,788 คน/ปี)
โครงการศึกษาความเร็วปลอดภัยบนทางหลวงเพื่อการกำหนดความเร็วที่เหมาะสม โดยสำนักวิจัยฯ กรมทางหลวง (พ.ศ.2560) ก็ชี้ให้เห็นว่าคนไทยขับรถเร็ว ทั้งถนนในเขตเมือง (สายรอง) และถนนทางหลวงนอกเขตเมือง (สายหลัก) โดยเฉพาะถนนเขตเมืองที่มีขนาดหลายช่องจราจร เช่น ถนนในเขตเมือง มีค่าเฉลี่ยความเร็ว อยู่ระหว่าง 75-85 กม/ชม. เมื่อถนนมีหลายช่องจราจรและเป็นเกาะกลางยกสูง ซึ่งความเร็วขนาดนี้เมื่อมีการชนคนเดินถนน จักรยาน หรือจักรยานยนต์ เกือบทั้งหมดจะเสียชีวิต โดยรวมผลการศึกษาชี้ว่า ถนนในเขตเมืองควรปรับรถความเร็วให้เหมาะสมไม่เกิน 60 กม/ชม. (ยกเว้นถนนที่มีช่องทางคู่ขนานที่ยังคงใช้ความเร็ว 80-90 กม/ชม.ในช่องทางด่วน)
ข้อมูลจากการสำรวจ ผู้ใช้ถนน จำนวน 2,981 ราย เมื่อเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2558 โดยมูลนิธิไทยโรดส์ พบตัวเลขที่น่าสนใจ
- ร้อยละ 44 ยอมรับว่าตนเองขับรถเร็วเป็น “บางครั้ง” ร้อยละ 63 คิดว่าผู้ขับขี่รถ คันอื่นๆ ขับรถเร็วกว่า “บ่อยครั้ง”
- ร้อยละ 42 ขับเร็วเพราะกำลังรีบเร่ง ขณะที่ร้อยละ 36 ขับเร็วเพราะถนนโล่ง
- มีเพียงร้อยละ 20 เคยได้รับใบสั่งหรือถูกเจ้าหน้าที่ตํารวจเรียกตักเตือน โดยร้อยละ 62.3 มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ความเร็ว เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
- 1 ใน 3 ของผู้ขับขี่รถยนต์ เห็นว่าโฆษณาขายรถยนต์เน้นสมรรถนะพละกำลังของ เครื่องยนต์มีผลต่อการขับรถที่ใช้ความเร็วเพิ่มมากขึ้น
- ร้อยละ 60 มองว่าความเร็วจํากัดตามกฎหมาย “ควรแตกต่างกัน” ขึ้นอยู่กับประเภท ถนน ความกว้าง และพื้นที่เฉพาะๆ
- ร้อยละ 83 สนับสนุนการตรวจจับความเร็วโดยการถ่ายภาพและส่งหลักฐานพร้อมใบสั่ง ทางไปรษณีย์
- ร้อยละ 50 มองว่าโทษปรับในปัจจุบัน ไม่มีผลและไม่ทําให้คนกลัวเกรงต่อการขับรถเร็ว
- ร้อยละ 87 สนับสนุนการเพิ่มโทษปรับเป็น “ขั้นบันได” ตามความรุนแรงของการฝ่าฝืน กฎหมายความเร็ว
- ร้อยละ 76 เห็นด้วยกับการเพิ่มเบี้ยประกันอุบัติเหตุรถยนต์ เมื่อถูกจับความเร็ว
เข้มงวดกับ “การขับรถเร็ว” .. ลดอุบัติเหตุ ลดการตาย
การลงทุนและมาตรการบังคับใช้กฎหมายด้วยกล้องตรวจจับความเร็ว เป็นสิ่งที่ถูกพิสูจน์ว่าเป็นมาตรการที่คุ้มค่าและถือเป็นข้อแนะนำพื้นฐานให้กับทุกประเทศทั่วโลก เพราะช่วยลดอุบัติเหตุได้ 10-40%
ตัวอย่างในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทยและมีปัญหาความรุนแรงของอุบัติเหตุจากขับเร็ว ได้กำหนดนโยบายในการใช้กล้องตรวจจับความเร็วพร้อมแนวทางในการดำเนินงาน มีการลงทุนกล้องตรวจจับความเร็ว 4,100 เครื่อง โดยดำเนินการในหลายหน่วยงานในแต่ละท้องถิ่น นำรายได้ค่าปรับมาใช้กับการดำเนินงานมาตรการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย ผลประเมินพบว่า พื้นที่ตรวจจับมีจำนวนรถที่ขับเร็วเกินกำหนดลดลง 70% ความเร็วเฉลี่ยลดลง 6% จำนวนอุบัติเหตุแต่ละพื้นที่ลดลง 10-40%
นอกจากนี้ ยังพบว่าหลายๆ ประเทศจะใช้แนวทางจัดหา “กล้องตรวจจับความเร็ว” โดยอาศัยการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน-ท้องถิ่น พร้อมปรับปรุงระเบียบให้สามารถนำรายได้จากค่าปรับมาใช้กับการจัดหาหรือมาตรการอื่นๆ
ตัวอย่างที่มีในประเทศไทยกับพื้นที่ที่ดำเนินการเข้มงวดเรื่องความเร็ว ซึ่งรับสนับสนุนเครื่องตรวจวัดความเร็วจาก Safer Roads Foundation ได้แก่ ถนนสาย 118 อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ (เน้นกล้องตรวจจับความเร็วแบบติดตั้งใน 5 จุดเสี่ยงสำคัญ) จำนวน 13 ล้านบาท หรือ ถ.มิตรภาพ ช่วง 14 กิโลเมตร ที่วิ่งผ่านตัวเมืองขอนแก่น ก็พบว่าหลังจากติดตั้งเครื่องตรวจจับความเร็วและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ทำให้ความเร็วเฉลี่ยลดลงและที่สำคัญคือการเสียชีวิตลดลง
กรณี ถนนสาย 118 พื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จำนวนผู้ขับเร็วเกิน 90 กม/ชม. ลดลง 10% จำนวนอุบัติเหตุเฉลี่ยต่อเดือนลดลงจาก 18.8 เหลือ 7.2 และค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตต่อเดือนลดลงจาก 1.42 เหลือ 0.4 (ลดลง 3.5 เท่า)
กรณี สายมิตรภาพ 14 กม. ช่วงผ่านเมืองขอนแก่น หลังติดตั้งและบังคับใช้กฎหมาย สามารถลดความเร็วช่วงกลางวันได้ 9.4% กลางคืน 9.8% ที่สำคัญคือลดการเสียชีวิตได้ถึง 14.5%
นอกจากการใช้กล้องตรวจจับความเร็ว มาตรการอื่นๆ ที่นำมาใช้จัดการความเร็วในรูปแบบเฉพาะอื่นๆ เช่น การติด GPS เพื่อกำกับความเร็วรถประจำทาง ข้อมูลจาก กรมการขนส่งทางบก พบว่า ภายหลังที่มีการติด GPS เพื่อกำกับความเร็วรถตู้ จำนวนอุบัติเหตุและความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุรถตู้โดยสารที่ติด GPS และมีการกำกับติดตาม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรการลดความเร็วในพื้นที่เฉพาะในเขตเมือง เช่น บริเวณถนนหน้าโรงเรียน หน้าตลาดหรือเขตชุมชน ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องมีการดำเนินการทั้งในส่วนศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและกระทรวงคมนาคม โดยมีมาตรการต่างๆ ได้แก่ โครงการกำหนดให้ทุกจังหวัดมีพื้นที่ควบคุมความเร็ว (speed zone) ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีการติดตั้งป้ายและมีอุปกรณ์ตรวจจับความเร็ว, โครงการหน้าโรงเรียนปลอดภัย ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้จัดเตรียมงบถึง 2,292 ล้านบาทเพื่อดำเนินงานตลอด 3 ปี (พ.ศ. 2560-62) https://www.posttoday.com/biz/gov/518013
ข้อพิจารณาและเสนอแนะ เพื่อการจัดหาเครื่องตรวจวัด “ขับเร็ว”
จะเห็นได้ว่าอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะสาเหตุจาก “ขับเร็ว” เป็นปัญหาสำคัญและเร่งด่วนในการหามาตรการป้องกันเพื่อลดความสูญเสีย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายด้วยเครื่องตรวจวัดความเร็ว ถือเป็นมาตรการที่พิสูจน์ชัดเจนว่าได้ผล
แต่ปัญหาที่พบมาโดยตลอดคือ “กระบวนการจัดหาและจัดซื้ออุปกรณ์” ของหน่วยงานที่ต้องใช้อุปกรณ์ ตั้งแต่การสำรวจความต้องการใช้งานจริง จัดทำแผนและขออนุมัติจัดซื้อ ซึ่งจะพบว่ากรณีใช้งบปกติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้จัดทำแผนใช้งบจำนวนมากเพื่อจัดซื้อเครื่องตรวจวัดความเร็ว เพราะจะกระทบผลงบประมาณโดยรวมของหน่วยงาน ดังนั้นการจัดซื้อจำนวนมากจึงมักจะต้องใช้งบกลาง-เร่งด่วน ผ่านกลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน แต่ก็อาจจะประสบปัญหาความล่าช้าหรือต้องยุติ (คืนงบ) เหมือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ อีกปัญหาที่พบและสำคัญคือ เครื่องตรวจวัดความเร็ว ที่ได้รับการสนับสนุนผ่านหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทางหลวง กรมการขนส่งทางบก ก็ยังขาดกระบวนการกำกับติดตามการใช้เครื่องมือให้มีประสิทธิภาพและประเมินความคุ้มค่า
ดังนั้น เพื่อให้มีกระบวนการจัดหาและใช้อุปกรณ์ได้เกิดประโยชน์ต่อการลดปัญหา จึงมีข้อพิจารณาเสนอแนะ ดังนี้
1) ทบทวนมาตรการจัดหาอุปกรณ์สำหรับบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะ
1.1 รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายและกำกับให้หน่วยงานที่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดความเร็ว (หรือกรณีอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์) ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง ฯลฯ มีแผนในการสำรวจความต้องการ พร้อมจัดทำงบประมาณเพื่อจัดหา งบสอบเทียบค่าและซ่อมบำรุง ให้เพียงพอ โดยไม่ต้องใช้งบกลาง เพื่อป้องการปัญหาที่ถูกมองว่าเป็นการใช้งบเร่งด่วนหรือหน่วยงานที่เสนอของบไม่ได้ใช้เป็นผู้บริหารจัดการงบ
ทั้งนี้ กรณีที่มีวงเงินสูง รัฐบาลก็จำเป็นต้องจัดหาและอนุมัติงบประมาณส่วนอื่นเพื่อรองรับ โดยไม่กระทบต่องบรวมของหน่วยงาน เพราะมิเช่นนั้น หน่วยงานก็จะไม่ตั้งงบเพื่อจัดหาเหมือนที่ผ่านมา รวมทั้งการกำหนดขั้นตอนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องโปร่งใสให้ชัดเจนและรัดกุม
1.2 เร่งให้มีการศึกษาและปรับปรุงระเบียบจัดซื้อและระเบียบเงินค่าปรับ ที่จะทำให้ภาคเอกชนหรือท้องถิ่นสามารถร่วมสนับสนุนหรือลงทุน (เช่นเดียวกับหลายประเทศใช้อยู่) โดยเฉพาะระเบียบการนำเงินส่วนแบ่งค่าปรับ (ที่ให้ตำรวจหรือท้องถิ่น) กลับมาหมุนเวียนใช้สนับสนุนมาตรการจัดหาเครื่องมือหรือจัดทำมาตรการลดอุบัติเหตุอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐและลดปัญหาโต้เถียงว่าเงินค่าปรับเป็นการนำไปใช้เป็นสินบนหรือค่าตอบแทนผู้บังคับใช้กฎหมาย
2) ก่อนจะมีการใช้กล้องตรวจวัดความเร็ว ทั้งบนถนนสายหลักและสายรอง โดยเฉพาะในเขตจำกัดความเร็ว (speed zone) หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลถนน ต้องจัดหาป้ายบอกความเร็วที่เพียงพอ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้มีการรับรู้ในวงกว้างก่อนการบังคับใช้จริง
3) จัดให้มีการกำกับผลการดำเนินงานว่าได้ตามประสิทธิภาพของกล้องหรือไม่ พร้อมทั้งประเมิน่ผลความคุ้มค่ากล้องตรวจจับความเร็ว ของหน่วยที่ได้รับจัดสรร เช่น การประเมินจำนวนการตรวจจับแต่ละวัน ความเร็วเฉลี่ยที่ลดลง จำนวนอุบัติเหตุ การบาดเจ็บและเสียชีวิตที่ลดลง เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาชี้ให้ประชาชนเห็นประโยชน์และร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย
4) ระยะกลาง-ระยะยาว กำหนดให้มีการพิจารณาแก้ไข พรบ.จราจรทางบก 2522 เพื่อกำหนดความเร็วเขตเมืองให้ปลอดภัยและเหมาะสมกับลักษณะถนน เช่น ถนน 2 ช่องจราจรไม่มีเกาะกลาง ความเร็วไม่เกิน 50 กม/ชม.
รวมทั้งปรับปรุงความเร็วให้เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของถนนในแต่ละช่วง เพราะจะทำให้ผู้ใช้รถยอมรับกับความเร็วที่กำหนด เช่น ถนนหลายช่องจราจรมีทางคู่ขนาน ในช่องทางด่วนก็กำหนดความเร็ว 90 กม/ชม. เป็นต้น
“ความเร็ว” ถูกชี้ชัดแล้วว่าเป็นปัญหาและสาเหตุของอุบัติเหตุและความสูญเสียบนถนน และมาตรการเพื่อจัดการ “ความเร็ว” ทั้งด้านวิศวกรรมจราจร (Engineering) มาตรการให้ความรู้-ประชาสัมพันธ์ (Education) รวมทั้ง มาตรการบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อการลดพฤติกรรมเสี่ยง ลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย โดยเฉพาะมาตรการบังคับใช้ด้วยกล้องตรวจวัดความเร็ว ถึงเวลาแล้วที่ต้องเร่งทบทวนกระบวนการลงทุนเพื่อจัดหากล้องตรวจวัดความเร็ว เพื่อให้ถูกนำมาดำเนินการได้จริง เพราะการปล่อยผ่านไปเรื่อยๆ ก็จะมีการตายบนถนน 50-60 คน/วัน และหนึ่งในห้า (10-12 คน/วัน) ก็เป็นผลมาจากเรื่องการขับรถเร็ว
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก youtube
