นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ทำ MOU ซื้อแท็บเล็ต มีช่องโหว่ทุจริตได้
'ตีรณ' แนะเปิดการซื้อขายแท็บเล็ตแบบเปิดกว้าง เลือกผู้ขายดีกว่าล็อกสเป็ก ชี้ทางที่ดีควรให้สวทช.ศึกษา เพื่อวางรากฐานระยะยาว เตือนรัฐบาลพิจารณาข้อกม.ให้ดี เชื่อ MOU มีช่องโหว่เอื้อทุจริตได้
จากกรณีนโยบายโครงการ One Tablet PC Per Child จัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดหาแท็บเล็ต แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government) หรือ จีทูจี ที่เสนอโดยกระทรวงศึกษาธิการและ ครม. มาเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือ เอ็มโอยู (MOU)
ทั้งนี้ ได้ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำความตกลงจัดซื้อแท็บเล็ต กับบริษัทผู้ขายของจีนที่ได้รับคัดเลือก ตามกระบวนการและขั้นตอนที่ได้ดำเนินการ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย นั้น
ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนเข้าใจว่าเหตุที่รัฐบาลเปลี่ยนแปลงรูปแบบจัดหาแท็บเล็ต จากแบบจีทูจี มาเป็นการทำข้อตกลงเอ็มโอยู เนื่องจากการทำแบบจีทูจี การซื้อขายของรัฐบาลนั้นต้องนำกรอบการเจรจาเข้าขออนุมัติจากรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ฉะนั้น รัฐบาลจึงเปลี่ยนมาใช้เอ็มโอยูที่ทำข้อตกลงกับบริษัทโดยตรง ไม่ใช่รัฐบาลจีน
"เอ็มโอยูจะไม่มีผลบังคับทางกฎหมายกับรัฐบาลจีน ดังนั้น ต้องให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาข้อบังคับ หรือข้อกฎหมายให้ดีว่า รัฐบาลสามารถทำการจัดซื้อจัดจ้างในลักษณะที่ล็อกผู้ถูกว่าจ้าง หรือให้มีการแข่งขันแบบเปิดกว้าง"
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวอีกว่า ในแง่การทำงาน หากรัฐบาลต้องการซื้อแท็บเล็ตจำนวนมาก ควรศึกษาก่อนว่ามีทางเลือกอะไรบ้างที่สามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา แต่เชื่อว่าจะตรงตามวัตถุประสงค์มากกว่า และอาจทำให้เกิดการแข่งขันแบบเปิดกว้างทั่วไป ไม่ใช่การซื้อแบบล็อกสเป็กเฉพาะแท็บเล็ตจากบริษัทในประเทศจีน รวมทั้งสามารถซื้อไอแพด หรือแท็บเล็ตจากประเทศอื่นๆ ได้ด้วย
"รัฐบาลควรพิจารณาการลงทุน ที่สามารถพัฒนาต่อเนื่องในระยะยาวได้ และหากจะล็อกผู้ผลิต ก็ต้องมีเงื่อนไขกับผู้ขายว่า ให้เพิ่มความช่วยเหลือในด้านอื่นด้วย ระบุว่าเป็นการขายของแบบมีเงื่อนไข หรือขายของอย่างเดียว เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือการจัดซื้ออาวุธ ของกองทัพ ที่ต้องมีการให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วย อันจะเกิดการแข่งขันของผู้ผลิตที่ให้ทั้งคุณภาพ ราคาและเงื่อนไขที่เหมาะสม"
ศ.ดร.ตีรณ กล่าวด้วยว่า การทำข้อตกลงเอ็มโอยู ไม่ได้มีผลบังคับทางกฎหมาย แต่เป็นเพียงการรับรู้ร่วมกันแล้วทำให้บริษัทในจีนมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลไทยจะซื้อสินค้า แต่หากมีการเปลี่ยนรัฐบาล หรือปรับ ครม.ก็อาจไม่ซื้อก็ได้ ดังนั้น เอ็มโอยูจึงไม่ใช่ตัวผูกมัดให้รัฐบาลทำตาม และนี่อาจเป็นทางออกหนึ่งที่รัฐบาลเลือกทำเอ็มโอยู หลังจากที่ทำจีทูจีไม่ได้
"สิ่งที่ควรระวัง คือ การทำเอ็มโอยูกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งอาจเกิดข้อครหาได้หลากหลาย ดังนั้นต้องพิจารณาข้อกฎหมายให้ดี เพราะมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตและเอื้อการให้ผลประโยชน์ได้ ซึ่งต่างกับการเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขัน อย่างไรก็ตามโครงการขนาดใหญ่งบฯ หลายพันล้านบาทเช่นนี้ ก็น่าจะให้ สวทช.ศึกษาดูก่อน เพื่อเป็นการวางรากฐานระยะยาว" อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว พร้อมแสดงความเห็นว่า การแจกแท็บเล็ต ควรให้ในระดับชั้นป.6 หรือระดับมหาวิทยาลัยมากกว่าเด็กป.1 หรือหากจะมีแจกกันจริงๆ ก็ควรมีการออกแบบไปกับการอ่านหนังสือและการค้นคว้าเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที ออกมาระบุถึงเหตุผลในการขอความเห็นชอบจาก ครม.ในการเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาแท็บเล็ตจากจีทูจี เป็นเอ็มโอยู เพื่อลดระเบียบ ความเทอะทะ ที่เป็นรูปแบบของทางการกับทางการ ขณะที่ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ให้เหตุผล การเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นเอ็มโอยู เพื่อป้องกันการวิ่งเต้นการติดสินบนการประมูล
ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ถึงการหาซื้อแท็บเล็ตแจกเด็กโดยให้กระทรวงการต่างประเทศทำเอ็มโอยูนั้น ถือว่า เป็นหนังสือสัญญาประเภทหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง ฉะนั้น ครม.ต้องนำกรอบเจรจาขออนุมัติจากรัฐสภาก่อน ต่อด้วยการรับฟังความคิดเห็นประชาชน แล้วจึงนำร่างหนังสือสัญญาเข้าขอความเห็นขอบจากรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเชื่อว่า นโยบายนี้ไม่น่าจะแจกทันก่อนเปิดเทอม หรือลงนามได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ ยกเว้นรัฐบาลจะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรา 190
"เอ็มโอยูกรณีนี้อ่านยังไงก็เข้า 190 วรรคสอง คือเป็นหนังสือสัญญาประเภทที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสำคัญ แต่ผมไม่ใช่ผู้ชี้ขาด กรณีมีปัญหา 190 วรรคหก ก็กำหนดให้พวกผมไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสองสภายื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้"
มติ ครม. ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาแท็บเล็ต แบบ G to G เป็น MOU http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/item/7340--g-to-g-mou.html
คน-ระบบ"ไม่พร้อม พลิกคม"แท็บเล็ต" บาดลึกเด็กไทย http://www.thaireform.in.th/2011-12-30-08-22-08/item/7329-q-q-qq-.html
ไม่ใช่แจกแล้วจบ... นโยบาย 1 แท็บเล็ตต่อ 1 นักเรียนhttp://www.thaireform.in.th/2011-12-30-08-22-08/item/7118-2012-02-13-15-26-49.html
