'9กมธ.ปรองดองปชป.'ยื่นหนังสือลาออก
'9 กมธ.ปรองดองปชป.'ยื่นหนังสือ'บิ๊กบัง'ขอลาออก หวัง สว.ช่วยหนุน คุยคนนอกสภาเริ่มรู้ทันเกม ด้าน'บัง'เมินคนลาออก แจงทุกอย่างจบแล้ว
เมื่อเวลา 10.30 น. นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน (กมธ.ปรองดอง) พร้อม กมธ.ซีก พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะรวม 9 คน ได้ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.สนธิ เพื่อขอลาออกจากคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าว
นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า กรรมาธิการซีก พรรคประชาธิปัตย์ เคยยื่นหนังสือเพื่อขอให้ประธานเรียกประชุมเพื่อปรับปรุงแก้ไขรายงานของ กมธ.ซึ่งประธานได้แจ้งว่า การพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว และไม่มีการทบทวน พวกตนทั้ง 9 เห็นว่า รายงานของ กมธ.ยังมีความผิดพลาดหลายเรื่อง และถ้าปล่อยให้รายงานออกไปในลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดความเสียหายได้ จึงเห็นว่า ไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกับกมธ.ชุดนี้ได้อีกต่อไป จึงขอยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นคณะกรรมาธิการชุดนี้
ด้านพล.อ.สนธิ กล่าวว่า การลาออกของ กมธ.ปรองดอง ซีกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่กระทบต่อการทำงานของ กมธ.ชุดนี้ และจากที่มีการพูดคุยในห้องประชุม กมธ.ชุดนี้ ทุกอย่างจบและเสร็จสิ้นหน้าที่แล้ว จากนั้น เราจะเสนอทุกอย่างไปตามขั้นตอน ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงการพิจารณาของรัฐสภาเพื่อรับเข้าสู่วาระการพิจารณาและคิดว่า ทุกอย่างสมบูรณ์หมดแล้ว โดยอายุของกมธ.ชุดนี้ก็จะหมดสิ้นวาระในกลางเดือน เม.ย.ตามที่ได้ขอขยายเวลาออกไปอีก 30 วัน
เมื่อถามย้ำว่า การลาออกของ กมธ.ปรองดอง ซีกพรรคประชาธิปัตย์ จะเกิดบรรยากาศของความไม่ปรองดองหรือไม่ พล.อ.สนธิ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม และเดินหนีกลุ่มผู้สื่อข่าว เมื่อถามย้ำเหตุผลของการไม่เรียกประชุมเพื่อทบทวน ทั้งที่มีการท้วงติองขอให้ทบทวนรายงานให้สมบูรณ์ พล.อ.สนธิ ตอบอย่างมีอารมณ์ว่า ที่ผ่านมาเราได้พูดในที่ประชุมว่า ทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว พร้อมเดินหนี้กลุ่มผู้สื่อข่าวเข้าห้องประชุมรัฐสภาทันที
อย่างไรก็ตาม นายนิพิฎฐ์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังยื่นหนังสือลาออกว่า เมื่อเช้าที่ผ่านมา กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์ ได้พยายามติดต่อกับ พล.อ.สนธิหลายครั้ง ว่า จะเปิดโอกาสให้ไปยื่นหนังสือลาออกที่ห้องไหนได้ เพราะประกาศเจตนาไปแล้ว โดยได้ให้เจ้าหน้าที่สภาจัดเตรียมห้องรับรอง ชั้น 1 ของอาคารรัฐสภา ซึ่ง พล.อ.สนธิ ตอบตกลง แต่ต่อมาท่านก็แจ้งว่า ท่านจะไม่ลงมาที่ห้องรับรองชั้น 1 แล้ว ขอให้มาใช้ห้องกาแฟของซีกรัฐบาล ชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สื่อมวลชนเข้าไปไม่ได้ คณะกมธ.ปรองดอง พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ไป จึงนัดให้มาที่ห้องรับรอง ชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดให้สมาชิกรัฐสภาเข้ามาได้ แต่เป็นพื้นที่ซึ่งห้ามสื่อมวลชนและคนนอกเข้าเพราะเป็นพื้นที่หวงห้าม ซึ่ง พล.อ.สนธิ คงคิดว่า สื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวไม่ได้ เจตนาคือ พล.อ.สนธิ ต้องการที่จะไม่ให้คำตอบอะไรและไม่อยากให้สื่อมวลชนตามมาถามสาเหตุต่างๆ ได้ จึงต้องใช้วิธีมาดักรอที่บริเวณทางเข้าห้องรับรอง ชั้น 2 ตรงข้ามห้องประชุมรัฐสภา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการเปรียบเทียบหรือไม่ว่ารายงานของ กมธ.ปรองดอง ที่สรุปวันสุดท้ายกับวันนี้ที่มีการนำเข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภา ต่างกันอย่างไร นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า ต่างกันในเรื่องความเห็น 3 ทาง ของ คตส. ที่ไม่มีความเห็นของผู้ที่ท้วงติงว่า ควรเลือกแนวทางไหน อย่างไร เช่น คำพิพากษาของศาลฎีกา ปี 2536 ที่เขานำมาอ้างว่า ยกเลิก คตส.ในยุคนี้ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดพลาด เนื่องจากที่มาของ คตส.มีกฏหมายรองรับ เข้าใจว่า เจตนาที่เขาไม่เรียกประชุม เพราะต้องการสร้างข้อมูลที่ผิดๆไว้ในรายงานเพื่อให้ปรากฏต่อสาธารณะแล้วนำไปขยายเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้การประชุมรัฐสภาวันนี้ เราหวังเสียงของ สว.ให้เห็นว่า แนวทางปรองดองนี้ คนข้างนอกสภาเริ่มมองเห็นแล้วว่า มันเริ่มต้นด้วยการไม่มีความปรองดองเป็นความขัดแย้งของ สส.ในสภาที่เห็นต่างกันอยู่และไม่มีการแก้ไข และจะเป็นการเริ่มต้นปัญหาที่จะก่อให้เกิดความรุนแรง จึงหวังและขอให้ สว.ไม่อนุญาตให้มีการพิจารณาเรื่องนี้ในสมัยประชุมสภานี้
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า คิดว่าหลังจากผ่านที่ประชุมรัฐสภาแล้ว ในสัปดาห์หน้าจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา หลังจากนั้นก็จะมีการออกพระราชกำหนด (พรก.)เ พื่อนิรโทษกรรม คาดว่าเขาจะออกเป็น พรก.แล้ว ไม่ทำเป็น พรบ.แล้ว เพราะเหตุที่ พล.อ.สนธิ เร่งนำรายงานนี้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภาวันนี้เพราะจะอ้างเหตุความมั่นคงแห่งรัฐ ซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อน เพราะเมื่อเอาเรื่องนี้เข้ามาก็สามารถอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมของการออก พรก.ได้ทันที ทั้งนี้ต้องดูที่ศาลว่าท่านจะคิดอย่างไร แต่แนวทางของเขาที่มาอย่างนี้ เป็นเรื่องความมั่นคงแห่งรัฐแน่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ กมธ.ปรองดอง ซีกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การลาออกของพรรคประชาธิปัตย์ไมได้เป็นอุปสรรคของการปรองดอง ยืนยันว่าพรรคให้การสนับสนุนแนวทางปรองดอง เห็นได้จากมีการตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกับ กมธ.มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ กมธ.พยายามทำอยู่นี้ เหมือนจะพยายามทำให้มีการเร่งรัด รวบรัด ตัดตอน อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันในเนื้อหาที่เสนอต่อสภา ก็มีการตัดตอนเนื้อหาข้อความบางส่วนในรายงานจากสถาบันพระปกเกล้า เพราะชัดเจนว่าในรายงานนั้นคณะวิจัยต้องการให้ กมธ.ทำงานโดยไม่ใช้เสียงข้างมาก และต้องการให้มีการสร้างบรรยากาศแห่งการปรองดองร่วมกันก่อน เพื่อหาจุดร่วมที่เห็นพ้องต้องกัน แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับในส่วนนี้ ดังนั้นตนคิดว่า กมธ.ต้องทบทวนให้ดี เพราะการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ย่อมไม่ได้มาจากเสียงข้างมากอย่างแน่นอน

