แบงก์ชาติค้านนโยบายบาทอ่อน หวั่นซ้ำรอยวิกฤติ 40
วันนี้ (28 มี.ค.) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ระบุใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อนค่าเพื่อสนับสุนการส่งออกว่า ยืนยันว่า ธปท.ไม่มีแนวคิดในการดำเนินนโยบายค่าเงินบาทอ่อนอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันไม่ได้กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวดำเนินนโยบายการเงิน และในภาวะปัจจุบันหากมีคนต้องการให้ค่าเงินอ่อนค่าลงกว่าที่ควรจะเป็น อาจเกิดวิกฤติเช่นปี 40 ที่ผ่านมา คือ ส่งผลให้นักลงทุนวิ่งเข้ามาเก็งกำไรตลาดอัตราแลกเปลี่ยน จนเงินบาทท่วมตลาดและเป็นภาระต่อ ธปท.ในอนาคต
“การตั้งเป้าอัตราแลกเปลี่ยน ผลคือมีเงินทะลักเข้ามาประเทศเป็นจำนวนมาก เช่น หากค่าเงินบาทควรอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีใครพยายามให้มันอยู่ที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นักลงทุนต่างชาติก็ชอบเอาดอลลาร์เข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก ธปท.ก็ต้องเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ต้องปล่อยเงินบาทออกมาจำรวนมาก เงินบาทก็จะท่วมตลาดและเป็นภาระต่อ ธปท.ในที่สุด ขณะเดียวกันเวลานี้ถ้าให้เงินบาทอ่อนอาจไม่เหมาะสมเพราะประเทศมีความจำเป็นต้องซื้อน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้ค่าเงินอ่อนเรายิ่งต้องซื้อน้ำมันแพงขึ้นไปอีก”
สำหรับอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน ยอมรับว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจตั้งแต่เดือน ธ.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยว เริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ขณะที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวและกลับมาผลิตได้เต็มศักยภาพตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังไม่ใช่ประเด็นในขณะนี้แต่คงต้องติดตามการปรับเพิ่มค่าจ้างค่าแรง 300 บาทที่จะเริ่มในวันที่ 1 เม.ย. นี้ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐและเอกชนที่อาจเป็นตัวกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป
“เรายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลานี้ เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังเหมาะสมและเอื้อต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3% ยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ระดับ 3.3-3.5% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบที่ 0.3-0.5% ซึ่งถือว่าต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ยังเอื้อให้ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้ เนื่องจากภาคการผลิตยังมีช่องว่างในการฟื้นตัว แต่หากกำลังการผลิตกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ ก็ควรกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ควรให้นโยบายการเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจอีก เพราะอาจทำให้เป็นการเพิ่มต้นทุน จนผู้ประกอบการจะผลักภาระไปยังราคาสินค้าให้ปรับเพิ่มมากขึ้น”

