‘ประเวศ’ เปิดสมัชชาปฏิรูป ปี 2 แนะเสริมพลังพลเมืองแก้วิกฤติ ป้องกันรัฐประหาร
สมัชชาปฏิรูประดับชาติ ปี 2 เน้นเสริมพลังพลเมือง ขจัดทุกวิกฤติ 'ประเวศ' ชี้อำนาจรวมศูนย์ทำให้รัฐประหารง่าย นักการเมืองเป็นผู้ก่อความเกลียดชังให้ปชช. แจงต้องปฏิรูปก่อน "ปรองดอง" ไม่ใช่คุย 2 ฝ่ายแล้วจบ
วันที่ 30 มีนาคม ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวเปิดการประชุมสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 2 เพิ่มพลังพลเมือง สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ที่จะจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 1 เมษายน 2555 ณ ไบเทค บางนา ว่า กระบวนการสมัชชาเป็นกระบวนการที่มีพลัง ไม่มีเป้าหมายส่วนตัว แต่เป็นเป้าหมายเพื่อส่วนรวม คือ สร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ และเป็นการรวมตัวของผู้คนทุกฝ่าย ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย รวมทั้งเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกันอันจะเป็นพลังแห่งความสามัคคี มีกระบวนการใช้ข้อมูล ความรู้ เหตุผลมาวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา และแก้ปัญหา วิธีการแห่งสันติวิธีเช่นนี้ จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ยากให้เป็นไปได้
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า เนื่องจากสังคมไทยยังมีความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำอยู่มาก ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการเมือง ที่เป็นต้นเหตุสำคัญในการทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขณะที่ อำนาจของประชาชนยังมีน้อย จนไม่สามารถทัดทานอำนาจทุนและอำนาจรัฐได้ ฉะนั้น จึงควรส่งเสริมพลังพลเมือง ให้มีความเท่าเทียมกัน จึงจะแก้ไขปัญหาและก้าวข้ามวิกฤติได้
"พลเมืองต้องอาศัยพลังสำคัญ 5 ประการ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดพลังสังคม ได้แก่ 1.พลังความถูกต้อง ยึดเป้าหมายส่วนรวม 2.พลังแห่งความสามัคคี ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย 3.พลังทางปัญญา 4.พลังแห่งการจัดการ 5.พลังแห่งสันติวิธี อันจะสามารถเปลี่ยนเรื่องยากให้สามารถเป็นไปได้"
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวภายหลังเปิดการประชุม ถึงการรวมศูนย์อำนาจเป็นบ่อเหตุให้เกิดการรัฐประหารได้ง่าย แต่หากมีการกระจายอำนาจไปสู่ประชาชน และเกิดพลังพลเมืองอย่างแท้จริงการรัฐประหารจะเกิดยากขึ้น ทั้งนี้ ความรุนแรงที่เราพบเห็นในสังคมล้วนมาจากนักการเมือง เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ซึ่งประชาชนไม่ได้มีความโกรธหรือเกลียดชังกัน นักการเมืองเป็นผู้ยุยงให้เกิดความเกลียดชังดังกล่าว
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงกระบวนการปรองดองด้วยว่า มีความซับซ้อนและมีกระบวนการมากกว่าแค่คนไม่กี่ฝ่ายจะมาเจรจากันแล้วจะจบ ซึ่งกระบวนการในการปฏิรูปที่จะเพิ่มพลังพลเมือง สร้างความเป็นธรรม ลดความความเหลื่อมล้ำในสังคมจะเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งในการปรองดอง
จากนั้น ศ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เครือข่ายวิชาการ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "เพิ่มพลังพลเมือง สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ" ว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ทำให้ต้องกลับมาทบทวนบทบาทของรัฐหลายประการ ที่สำคัญที่สุด คือ การที่รัฐเข้ามาจัดการชีวิตของประชาชนแทบทุกด้าน แต่เมื่อเกิดน้ำท่วม ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติ รัฐไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาขั้นพื้นฐานได้ ประชาชนจึงตกอยู่ในสภาวะธรรมชาติที่ขาดรัฐ และต้องช่วยเหลือตนเอง
"การช่วยเหลือตนเองของประชาชน เกิดขึ้นเพราะไม่มีทางเลือก เพื่อความอยู่รอดจึงต้องหันหน้าเข้าหากัน ระดมทั้งทรัพยากรแรงกายและสิ่งของเข้าจัดการปัญหา และแสดงถึงพลังชุมชนที่มีอยู่แต่ไม่เคยนำมาใช้ เพราะเดิมเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง" ศ.ชัยอนันต์ กล่าว และว่า การพัฒนาทำให้รัฐเข้มแข็ง แต่ประชาชนอ่อนแอทั้งแง่ทัศนคติและการเป็นพลเมือง
"ประชาชนมีฐานะไม่ผิดอะไรกับไพร่ฟ้า และมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่คอยพึ่งรัฐ ชุมชนอ่อนแอเพราะการวางแผนการจัดการปัญหาที่มาจากภายนอก ดังนั้น การพัฒนาจึงเป็นการพัฒนาด้านวัตถุ ส่วนจิตใจเป็นจิตอาสา ความร่วมมือซึ่งกันและกันขึงไม่เกิดขึ้น เป้าหมายของการพัฒนาจึงต้องทำให้เกิดความเป็นพลเมืองและเกิดความเข้มแข็ง"
