ท่ามกลางวังวนของความเปลี่ยนแปลง ทางออกจากวิกฤติประเทศไทย
I บทนำ
การเลือกตั้ง นับเป็นโอกาสในการทำข้อตกลงกันระหว่างกลุ่มชนชั้นนำที่แข่งขันกันอยู่แต่รากฐานของความขัดแย้งทางการเมืองนั้นกินลึกลงไปเกินกว่าแค่ความล้มเหลวของบุคคลหรือสถาบัน ในการแสวงแนวทางเพื่อออกจากความขัดแย้งนี้เราจะต้องพิจารณาวิกฤติความชอบธรรมทางระเบียบการเมือง ระเบียบสังคม และระเบียบ วัฒนธรรมที่อยู่ภายใต้ความขัดแย้งดังกล่าว บทความฉบับนี้ จะนาเสนอความคิดที่ว่าระบบการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์กึ่งเผด็จการ ลำดับชั้นทางสังคมที่จัด
ในแนวตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบรวมกลุ่มนั้นไม่สามารถนำมาใช้รับมือกับความขัดแย้งที่ต่อเนื่องและเป็นพหุลักษณ์ในเศรษฐกิจและสังคมไทยได้อีกต่อไป หากแต่ความขัดแย้งที่ลึกซึ้งของประเทศไทยจะแก้ไขได้ถ้ามีการปรับเปลี่ยนระเบียบแบบดั้งเดิมให้ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมที่ได้มีการพัฒนาให้ทันสมัยขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้เท่านั้น
วิธีในการทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนนั้นมีความสำคัญพอ ๆกับโครงสร้างเชิงสถาบันที่จะเกิดจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว สัญญาประชาคมฉบับใหม่ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมอบลงมาจากข้างบนได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องมีการต่อรองในกระบวนการที่ทุกคนมีส่วนร่วมและตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์
II วิกฤติทางกำรเมือง: ประเทศไทยต้องล้มลุกคลุกคลานกับลำดับชั้นทางการเมืองและลำดับชั้นทางสังคมของตน
การพัฒนาการเมืองในราชอาโาจักรไทย ใช่จะเกิดจากผลการเลือกตั้งได้เพียงอย่างเดียว แต่การเลือกตั้งนั้นเป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งในความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งทา
ให้ประเทศอยู่ในภาวะชะงักงันมาหลายปี บทความนี้ มิอาจบรรยายความขัดแย้งทางการเมืองในเชิงลึกหลายท่านที่หลักแหลมกว่าได้ทามาแล้วอย่างงดงามในโอกาส
อื่น ๆ แต่เพื่อปูพื้นในการวิเคราะห์ที่ผู้เขียนจะนำเสนอแนวคิดต่อไปผู้เขียนจะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับธรรมชาติ และลัก ษโะของความขัดแย้ ง
นั้น
สัญญาประชาคมดั้งเดิมเสื่อมลง
การย้อนมองไปในอดีตพอสังเขปจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ในวันนี้วิกฤติการเงินเอเชีย ได้ทำลายความหวังอันสูงส่งในการพัฒนาเศรษฐกิจ และการสร้างความแน่นแฟ้นทางประชาธิปไตยไปหลายประการ ผู้นำทางธุรกิจระดับชาติซึ่งพบปัญหาจวนเจียนล่มสลาย พบว่าตนถูกตีกรอบโดยนโยบายปฏิรูปแบบเสรีนิยมใหม่ที่ผลักดัน โดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัยภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF)จากการประเมินสถานการณ์ผู้นำธุรกิจใหญ่ ๆ ต่างเห็นพ้องกันว่าการยึดครองอานาจรัฐเป็นทางรอดเพียงทางเดียวของตน 1 ความขัดแย้งนี้มิใช่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในทางตรงกันข้ามนอกจากจะสร้างผลกระทบอื่น ๆ แล้วความขัดแย้งดังกล่าวกลับเป็นการสืบสานนโยบายเสรีนิยมใหม่บางประการที่ต่อไปจะแบ่งแยกชนชั้นนาทางธุรกิจให้ห่างออกจากกันด้วยซ้า มีการรวมพันธมิตรของกลุ่ม“ทุนเก่าของไทย” เข้ากับกลุ่ม “ทุนใหม่ของไทย” เพื่อให้รอดพ้นจากการทำลายของทุนนิยมโลกธุรกิจในประเทศต้องการรัฐบาลที่จะสามารถปกป้องตนจากคู่แข่งต่างชาติที่มีอานาจเหนือกว่าได้นานพอที่จะให้บริษัทในประเทศสามารถปรับโครงสร้างและฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของตนในตลาดโลก
สังคมห้อมล้อมทักษิณอยู่ชั่วขณะ
แต่ในท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจและผลกระทบทางสังคมเชิงกว้างนั้นรัฐบาลที่เป็นคนรวยและทำงานเพื่อคนรวยจะสามารถประสบความสาเร็จได้ ก็ต่อเมื่อรัฐบาลนั้นให้ความช่วยเหลือ และคุ้มครองคนจนด้วยเท่านั้นความสนับสนุนอันแข็งแกร่งที่กลุ่มคนจนให้แก่เศรษฐีพันล้านนามทักษิณจนถึงทุกวันนี้เป็น ผลมาจากนโยบายเพื่อสังคมของเขา ที่ทาให้อดีตเจ้าพ่อการสื่อสารผู้นี้สามารถตั้งตนเป็นผู้อุปถัมป์รายใหม่สาหรับคนหมู่มากที่อยู่ชายขอบของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมรัฐบาลชุดแรกของทักษิณยังได้พยายามสนองตอบต่อความกังวลทางเศรษฐกิจ สังคมของชนชั้นนาหัวอนุรักษ์นิยมและชนชั้นกลางด้วยจึงเกิดนโยบายเศรษฐกิจแบบ “ทักษิโณมิกส์” ขึ้น โดยสูตรเศรษฐกิจดังกล่าวได้ทำให้พันธมืตรนักธุรกิจที่ร่่ำรวยและทรงอิทธิพลซึ่งนำโดย เศรษฐีพันล้านทักษิณสามารถชนะการเลือกตั้งเสรีได้ทุกครั้ง ตั้งแต่ ปีพ.ศ.2544 เป็นต้นมา แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีความพยายามเชิงเบ็ดเสร็จที่จะทำลายความน่าสนใจของนโยบายนี้
ความเป็นพันธมิตรอย่างกว้างขวางถูกทำลายลงด้วยความขัดแย้งภายใน
อย่างไรก็ตาม ความเป็นพันธมิตรที่กว้างขวางนี้มีอยู่ได้ไม่นาน ความเห็นไม่ลงรอยกันครั้งแรกเกิดขึ้นจากเรื่องการแปรรูปกิจการของรัฐและนโยบายการค้า นโยบายเสรีนิยมใหม่ของพรรคไทยรักไทยถูกต่อต้านอย่างรุนแรงโดยเอ็นจีโอหัวก้าวหน้าและสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ขณะที่ทักษิณกับเหล่านักธุรกิจที่ร่ารวย และทรงอิทธิพลได้รับประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีในภาคธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงผลประโยชน์ของกลุ่ม “ทุนเก่า” กลับถูกคุกคามโดยการแข่งขันจากต่างประเทศ ชนชั้นกลางหัวอนุรักษ์นิยมจึงเกลียดชังการที่เศรษฐีพันล้านผู้ขายอาณาจักรสื่อสารของตนไปโดยไม่เสียภาษีให้รัฐสักบาทเดียวจะนำงบประมาณที่มาจากภาษีของตนไปแจกจ่ายในมุมมองนี้เราอาจอธิบายชัยชนะในการเลือกตั้งของไทยรักไทยได้เพียงว่าเกิดจาก “นโยบายประชานิยมที่หลอกคนยากจนไร้การศึกษาผนวกกับการซื้อเสียงของนักการเมืองในต่างจังหวัด 2 ความชิงชังคนจนในชนบทของคนเมืองเป็นแหล่งกาเนิดของ “การเมืองใหม่” ซึ่งชนชั้นกลางหัวอนุรักษ์นิยมหวังจะนามาเพื่อพักการใช้ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ส่วนชนชั้นกลางหัวก้าวหน้ามีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าทักษิณจะขยายฐานอำนาจออกไปยิ่งขึ้นแนวโน้มความเป็นเผด็จการที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลทักษิโสร้างความตระหนักแก่ประชาสังคมผู้เกรงกลัวว่ารัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยความยากลาบากจะถูกกร่อนทาลายไป ฝูงชนจึงออกประท้วงในท้องถนนเพื่อต่อต้านการเพิ่มความร่ารวยให้กับตนเองของทักษิณ
ชนชั้นนำไม่ชอบใจพฤติกรรมโอ้อวดของทักษิณแต่สิ่งที่ทำให้ชนชั้นนำดั้งเดิมขับทักษิณซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มออกจากกลุ่มของตนนั้ นไม่ ใช่ความไม่ พอใจเรื่องมารยาทเพื่อคุมอำนาจรัฐทักษิณได้สร้างฐานขึ้นมาใหม่ ให้เกิดพันธมิตรระหว่างธุรกิจใหญ่ ๆ กับชนชั้นนำในประเทศ และกับคนจนที่ เป็นประชากรส่ วนใหญ่ เราอาจมองว่าสูตรที่ให้มีการสร้างพันธมิตรดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะสร้างข้อตกลงใหม่ ระหว่างกลุ่มอำนาจหลักเพื่อให้เกิดระเบียบเกิดอำนาจที่ชอบธรรมและเพื่อแจกจ่ายทรั พยากร การจัดการแบบใหม่ นี้เป็นสิ่งจำเป็นหลังจากที่สัญญาประชาคมแบบดั้งเดิมของไทยซึ่งไม่ได้มีการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นสิ่งที่ยึดโยงประเทศเข้าด้วยกันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ (เช่นโดยการที่ฝ่ายทหารประกันความมั่นคงทางการเมือง รัฐบาลดูแลเศรษฐกิจ ธุรกิจขนาดใหญ่สร้างความเติบโตและความมั่งคั่งที่ส่งผ่านลงมาตามเครือข่ายการอุปถัมภ์ไปยังผู้นำในท้องถิ่นและประชาชนโดยรวม) ได้ถูกทำให้หมดสภาพไปในวิกฤติการเงินเอเชีย และต่อมาถูกยกเลิกไป โดยรัฐบาลเสรีนิยมใหม่ของนายชวน หลีกภัย 3 แน่นอนว่าเศรษฐศาสตร์แบบ “ทักษิโณมิกส์” เป็นการสร้างความชอบธรรมให้อำนาจโดยผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยและใช้นโยบายทางสังคมทำให้เกิดการสนับสนุนจากสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อชนชั้นนำในประเทศซึ่งสามารถควบคุมรัฐสภาได้อยู่หมัด และมีความสามารถระดมมวลชนให้ความสนับสนุนต่อรัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทน คือการถูกนับรวมเข้าไปด้วยในกลุ่มที่จะได้รับแจกจ่ายทรัพยากรของรัฐฯ แม้จะเป็นการต่อรองกันระหว่างกลุ่มย่อยต่าง ๆ ในกลุ่มชนชั้นนำเพื่อสนองผลประโยชน์ของตนและแม้ทักษิณจะมีสไตล์การบริหารแบบกึ่งเผด็จการ แต่สูตรใหม่นี้ก็ยังเป็นสูตรการบริหารราชการที่ให้คนมีส่วนร่วมมากกว่าสัญญาประชาคมฉบับเก่า
ภายใต้สูตรใหม่ ชนชั้นนำแบบดั้งเดิมจึงหมดความจำเป็นในชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนว่าการบริหารประเทศแบบ “ทักษิโณมิกส์” นั้นทำให้สามารถยึดครองรัฐได้โดยไม่ต้องมีการสนับสนุนจากชนชั้นนำแบบดั้งเดิม หรืออาจถึงขนาดทำให้สามารถกระทำการต่อต้านผลประโยชน์ของชนกลุ่มนี้ก็ยังได้ สำหรับกลุ่ม “เจ้าของประเทศ” ดั้งเดิมสภาพการณ์นี้เปรียบได้กับการประกาศสงคราม
ประเทศแบ่งแยกเป็นกลุ่มพลังผสมสีเหลืองและสีแดง
ในไม่ช้าความขัดแย้งก็ทวีความรุนแรงขึ้นทำให้เกิดการปะทะกันอย่างแรงในท้องถนนและมีการเผชิญหน้ากันทางการเมืองในศาล มีการรัฐประหารที่ร้อนแรงและเงียบเชียบ และมีการบิดเบือนทางการเมือง เศรษฐกิจ และจิตวิทยาอีกมากมายเกิดขึ้นในประเทศ ชนชั้นนำทั้งสองกลุ่มต่างสามารถรวบรวมพลังผสมทางสังคมได้อย่างกว้างขวางมาสนับสนุนแนวทางของตน
กลุ่มพลังผสม “สีเหลือง” ซึ่งต่อต้านทักษิณประกอบด้วยชนชั้นนำที่เอียงข้างเผด็จการซึ่งเป็นชนชั้นสูง ข้าราชการ และทหารบวกกับภาคประชาสังคม นักวิชาการ และสหภาพแรงงานที่ต่อสู้เพื่อรักษาประชาธิปไตย วาทกรรมของกลุ่มสีเหลืองเน้นย้ำว่าระเบียบทางการเมืองและระเบียบทางสังคมจะต้องเป็นสิ่งสะท้อนจากระเบียบจริยธรรมในแนวตั้ง เช่นการที่สถานะทางสังคมของบุคคลจะถูกกำหนด(ล่วงหน้า) โดยคุณธรรมของบุคคลนั้นหรือโดยผลกรรมจากชาติก่อน ระเบียบกฎเกณฑ์แบบรัฐนิยมจึงถูกท้าทายโดยการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เพิ่มขึ้นและการใช้ “ทางเบี่ยง” ในการเลือกตั้งที่หักเหออกจากลำดับชั้นทางสังคมแบบดั้งเดิม กลุ่มเสื้อเหลืองมีความไม่พอใจยิ่งขึ้นต่อประชาธิปไตยแบบมีการเลือกตั้งด้วยความกลัวว่าคนจน “ไร้การศึกษา” จะขายเสียงของตนแล้วทำให้ได้ผู้นำที่ทุจริตและขาดจริยธรรมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเห็นว่ากลไกที่ทำให้มีการเลือกตั้งผู้นำที่ขาดจริยธรรมเป็นสิ่งที่สวนทางกับระเบียบจริยธรรมแนวตั้ง และเรียกร้องให้มีการพักใช้กลไกดังกล่าวเพื่อไปใช้กลไกที่ถูกคัดเลือกโดยผู้นำทางจริยธรรมสูงสุดแทนส่วนพลังผสม “สีแดง” คือการรวมพันธมิตรกันระหว่างชนชั้นนำทางธุรกิจกับบางส่วนของกองกำลังด้านความมั่นคง (เช่น ตำรวจ) และชนชั้นนำในท้องถิ่น กลุ่มผสมที่เป็นชนชั้นนำนี้ สร้างความชอบธรรมให้กับตนเองด้วยการที่นำคนจนในเมืองและชนบทเข้ามารวมไว้ในกลุ่มด้วย แต่เราต้องแยกแยะระหว่างวาทกรรมเสื้อแดงกับโครงการทางการเมืองแบบทักษิโณมิกส์ วาทกรรมเสื้อแดงนั้นมีลักษณะที่ค่อนข้างจะเป็นพหุนิยมและก้าวหน้าโดยเรียกร้องให้มีกระบวนการทางการเมืองและระเบียบทางสังคมที่มีส่วนร่วมมากขึ้น แต่ทักษิโณมิได้ต้องการเปลี่ยนระเบียบแนวตั้งแต่อย่างใดเลย เพียงแค่นำตนเองเข้าไปเป็นผู้อุปถัมภ์อีกรายหนึ่งเท่านั้น กระนั้นก็ตามนโยบายแบบทักษิโณมิกส์ก็ยังก่อผลทางโครงสร้าง (ที่คงไม่เจตนาให้เกิด) คือการที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่ชายขอบได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไทย
ทั้งกลุ่มเหลืองและแดงต่างตีตัวออกห่างจากผู้อุปถัมภ์ทางการเมืองของตนมากขึ้น และประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไทย ไม่ว่าเราจะเรียกว่าเป็นการที่มวลชนเกิดความตระหนักในชนชั้นของตนยิ่งขึ้นหรือเป็นการปลดปล่อยพลเมืองในวงกว้าง สิ่งที่เกิดขึ้นคือประชาชนส่วนใหญ่ที่ในอดีตเคยถูก
ผลักให้ไปอยู่ชายขอบกลับมีอำนาจทางการเมืองเพิ่มขึ้นจนเราไม่สามารถมองข้ามชนกลุ่มนี้ต่อไปได้อีกแล้ว พูดอีกอย่างก็คือการสนับสนุนจากประชากรส่วนใหญ่หรืออย่างน้อยการเห็นชอบที่แสดงออกด้วยการไม่ออกมาต่อต้านนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาเปล่า ๆ อีกต่อไป ถึงตอนนี้แม้แต่รัฐบาลของชนชั้นนำที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของชนชั้นนำเองก็ยังต้องจ่ายค่าความชอบธรรมนี้ด้วยการคุ้มครองชนชั้นกลางและช่วยเหลือคนยากจน
ประเมินสถานการณ์: ดูเหมือนจะไม่มีทางออก
แม้จะต่อสู้อย่างดุเดือดมาแล้วถึงห้าปีก็ ยังไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะอย่างชัดเจน ผู้มีบทบาททั้งหมดกลับพบว่าตนเองมีสถานะที่อ่อนแอลง โดยความขัดแย้งครั้งนี้ได้มาถึงทางตันแล้ว เมื่อไม่นานมานี้มีข้อบ่งชี้บางประการที่มีนัยว่าทั้งสองฝ่ายเริ่มจะทบทวนสถานการณ์ของตนใหม่แล้ว
ในสภาพที่ไม่มีทางออกนี้อย่างน้อยการเลือกตั้งก็อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายชนชั้นนำที่แข่งขันกันให้กลับมาคืนดีกันได้ การตกลงครั้งใหญ่ (Grand Bargain) จะต้องทำให้เกิดสถานการณ์ที่ให้ผู้มีบทบาทหลักทั้งหมดได้ประโยชน์ (win-win) หากมองข้ามผู้มีบทบาทบางรายไป ผู้มีบทบาทรายนั้นอาจทำให้ความขัดแย้งยืดยาวออกไปหรือแม้แต่ทำให้ความขัดแย้งยกระดับขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองของตน
สังคมต่อสู้กันเรื่องลำดับชั้นทางการเมืองและลำดับชั้นทางสังคมใหม่
สภาพการณ์นี้บ่งชี้ว่าวิกฤติที่ครอบคลุมประเทศไทยอยู่มีรากฐานที่ลึกซึ้งกว่าเพียงความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำและพลพรรคเท่านั้น ในระดับโครงสร้างความขัดแย้งทางการเมื องครั้ งนี้เป็ นการต่อสู้ เพื่อให้ ได้มาซึ่งสมดุลอำนาจใหม่ระหว่างขั้วต่าง ๆ ในสั งคม การฟาดฟันเพื่อให้ได้มาซึ่งลำดับชั้นทางการเมืองและสังคมใหม่นี้เกิดขึ้นในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจครั้งใหญ่ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยการพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคม โดยชนชั้นนำทางเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ และชนชั้นกลางที่มีจำนวนมากขึ้นต้องพึ่งพิงการอุปถัมภ์จากชนชั้นนำกลุ่มดั้งเดิมน้อยลงมาก จนทำให้เกิดการสั่นคลอนต่อสถานะอำนาจของกลุ่มหลังผู้มีบทบาทหลักจึงต้องสามารถสร้างสมดุลอำนาจใหม่ขึ้นมาให้ได้เพื่อแก้ปัญหาการขัดแย้งทางการเมืองนี้
III วิกฤติการเปลี่ยนแปลง: ประเทศไทยต้องการระเบียบทางการเมืองสังคม และวัฒนธรรมใหม่
ความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับสมดุลอำนาจใหม่นี้เกิดขึ้นในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมได้ริดความชอบธรรมของระเบียบทางการเมืองสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทยไปโดยสร้างแรงกดดันมากเกินไปสำหรับระบบการบริหารประเทศ และด้วยการทำลายความคิดค่านิยม วาทกรรม และอัตลักษณ์ที่เป็นรากฐานแห่งอำนาจนั้น ด้วยเหตุนี้การทำความตกลงกันเรื่องลำดับชั้นทางการเมืองและสังคมใหม่เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะแก้ไขวิกฤติของประเทศไทยได้พัฒนาการในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาความชอบธรรมในระเบียบทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของประเทศ เช่นเดียวกับประเทศที่มีระบบลูกผสมอื่น ๆ ประเทศไทยมีภูมิทัศน์ทางสถานบันประชาธิปไตยที่ดี แต่ความเป็นจริงทางการเมืองยังถูกกำหนดโดยโครงสร้างอำนาจเดิมที่แฝงอยู่เบื้องหลังฉากหน้าของสถาบันเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่โครงสร้างแบบเดิมจะถูกกร่อนทำลายโดยการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมมากขึ้นทุกที กลไกทางประชาธิปไตยก็ยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะสนองตอบต่อความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของสังคมได้ประเทศไทยต้องประสบภาวะที่อำนาจดั้งเดิมถูกทำลายความชอบธรรมไปและต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงในการเจรจาสัญญาประชาคมฉบับใหม่
1. วิกฤติระเบียบทางการเมืองและเศรษฐกิจ : ความซับซ้อนและการปลดปล่อยทำให้เกิดควาทตึงเครียดต่อระบบมากเกินไป
ความซับซ้อนทำให้ต้องมีการบริหารที่มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยม ส่วนแบ่งมหาศาลของการส่งออกในผลประกอบการทางเศรษฐกิจ (ร้อยละ 72 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศใน พ.ศ. 2552) แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมในส่วนแบ่งแรงงานของโลกอย่างมากเพียงไร การพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัยขึ้นได้ทำให้กระบวนการเศรษฐกิจต่าง ๆ ทวีความซับซ้อนขึ้น ทำให้เกิดความพึ่งพิงระหว่างกันและกัน การที่ต่างกลุ่มมีผลประโยชน์สวนทางกันกับความขัดแย้งเรื่องสิ่งที่มีลำดับความสำคัญและความขัดแย้งเรื่องทรัพยากรนับเป็นเรื่องปกติทั่วไป
ความขัดแย้งถาวรต้องมีกลไกการไกล่เกลี่ย
ความเจริญทางเศรษฐกิจได้ทำให้ชีวิตการทำงานของคนนับล้านเปลี่ยนไปเกิดความหลากหลายขึ้นในการเป็นบทบาทต้นแบบวิถีชีวิต และอัตลักษณ์ไม่เฉพาะในกรุงเทพมหานครแต่ในเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวและตามเขตอุตสาหกรรมต่างๆด้วย เราไม่สามารถกล่าวถึงสังคมไทยอย่างครอบคลุมโดยใช้ฉลากแบบดั้งเดิมเช่น “อมาตย์” (ชนชั้นสูง) และ “ไพร่ ” (ชนชั้นต่ำลงมา) ได้อีกต่อไปที่จริงแล้วสังคมได้แตกตัวออกเป็นชนชั้นต่าง ๆ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ วัฒนธรรมย่อยต่าง ๆ และกลุ่มทางชาติพันธุ์และศาสนาต่าง ๆ มากมาย สภาพการดำเนินชีวิตที่หลากหลายดังกล่าวจึงส่งเสริมให้เกิดผลประโยชน์และค่านิยมที่หลากหลายและบางครั้งขัดแย้งกัน รัฐบาลรวมศูนย์มีความสามารถน้อยลงทุกทีที่จะบริหารจัดการความซับซ้อนที่มีมากขึ้น ในระบบเศรษฐกิจประชาชนเริ่มไม่ยอมรับวิธีการแบบเดิมในการจัดการกับความขัดแย้ง (เช่น การปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยทางการเมือง หรือการต่อรองเพื่อให้เกิดการรอมชอมในวงอำนาจที่ไม่โปร่งใส) โดยสรุป ระบบการบริหารราชการที่เป็นแนวตั้งกึ่งเผด็จการ นั้นขาดกลไกที่เหมาะสมในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งถาวรที่มักเกิดขึ้นในสังคมพหุลักษณ์ และขาดความสามารถที่จะต่อรองให้เกิดการแก้ปัญหาอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางระหว่างผู้มีบทบาทต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิผล
มีความคาดหวังเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของรัฐ
ในแง่หนึ่งความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ท้าทายระเบียบการอุปถัมภ์ในยุคก่อน เมื่อทรัพยากรมีน้อยจึงต้องมีการแจกจ่ายกันเฉพาะในกลุ่มผสมกลุ่มเล็ก ๆ ที่เป็นผู้ปกครองทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับส่วนแบ่งในทรัพยากรนั้นในเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองอาจมีการท้าทายระบบอุปถัมภ์ได้สองทางด้วยกันคือด้วยการที่ชนชั้นนำทางธุรกิจก็ลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์เช่นเดียวกันกับด้วยการที่รัฐเป็นผู้กระจายทรัพยากร เราอาจอธิบายการที่คนจนให้ความสนับสนุนกลุ่มผสมเสื้อแดงอย่างเหนียวแน่นได้ในทั้งสองบริบทคือทักษิณได้นำเสนอตนเองเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหม่ได้อย่างแยบยล และโครงการ “ช่วยประชาชนเพื่อให้ประชาชนสามารถช่วยตนเอง” ของรัฐบาลทักษิณก็ได้เน้นย้ำว่ารัฐไทยมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของชนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ชายขอบอย่างจริงจัง ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกว่าในความคาดหวังของประชาชนต่อรัฐคือคาดหวังว่ารัฐต้องสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้นและต้องสร้างโอกาสในชีวิตให้ทุกคนแต่การกลับกลายเป็นว่าในขณะที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางบางส่วนมีความรุ่งเรืองยิ่งขึ้นกระบวนทัศน์การพัฒนารัฐไทยกลับไม่สามารถทำให้เกิดสภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้สำหรับประชากรส่วนใหญ่จึงนับได้ว่าเศรษฐกิจการเมืองยุคก่อนสมัยใหม่ดำเนินไปโดยสวนทางกับความชอบธรรมของผลผลิตจากระเบียบทางการเมืองและเศรษฐกิจนั้น
การแยกตัวออกจากระบบเดิมของพลเมืองทำให้เกิดความคาดหวังมากขึ้นจากกระบวนการทางการเมือง
ความคาดหวังใหม่ ๆ เกี่ยวกับการทำงานของรัฐนี้เป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงด้านความคาดหวังในวงกว้างต่อกระบวนการทางการเมืองโดยรวม เหนือสิ่งอื่นใดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้กำหนดนิยามใหม่ขึ้นสำหรับบทบาททางการเมืองของประชาชน แต่โดยแท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ส่งผลต่อกระบวนการทางการเมืองทั้งหมด
ถ้อยคำในการต่อสู้ของกลุ่มเสื้อแดงที่ว่า “ภูมิใจที่เป็นไพร่” (Proud to be Prai) อาจเป็นวิธีอันชาญฉลาดในการระดมประชาชนที่รู้สึกว่าตนถูกลิดรอนศักดิ์ศรีและ “ภูมิใจที่เป็นไพร่” ยังชี้ให้เห็นถึงความตระหนักที่เพิ่มขึ้นว่ากลุ่มผู้ถูกปกครองที่อยู่ชายขอบนั้นเป็นชนชั้นทางการเมืองชนชั้นหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งการปลดปล่อยของพลเมืองที่มีสิทธิเท่าเทียมกับกลุ่มอื่น ๆ ความโกรธแค้นของ “กลุ่มเสื้อแดง” ในเรื่อง “สองมาตรฐาน” จึงพุ่งไปที่การที่ตุลาการและราชการมักมีการปฏิบัติต่างกันสำหรับบุคคลที่ต่างชนชั้นกันด้วยการเรียกร้องว่าการเลือกตั้งเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างความชอบธรรมให้อำนาจได้ผู้ประท้วงเสื้อแดงจึงสนับสนุนหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งที่ว่า “หนึ่งคนหนึ่งเสียง” แต่ชนชั้นนำดั้งเดิมกลับมองว่าสิ่งนี้เป็นภัยต่อสถานะการมีอภิสิทธิ์ของตนจึงต่อต้านเพื่อคงไว้ซึ่งลำดับชั้นทางสังคมแบบเดิม
ทางอีกด้านหนึ่งความโกรธแค้นของ “กลุ่มเสื้อเหลือง” ต่อการทุจริตที่แพร่กระจายในกลุ่มชนชั้นนำ – แม้ชนกลุ่มนี้จะสนับสนุนค่านิยมแบบดั้งเดิมทั้งมวลก็ตาม – แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางบรรทัดฐานที่ลึกซึ้งขึ้นว่ากลุ่มคนจนจะไม่ยอมปล่อยให้ “ทรัพย์ของแผ่นดิน” ตกอยู่ในมือของผู้มีอำนาจอีกต่อไป แม้การยืนยันเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายของ “กลุ่มเสื้อเหลือง” จะมีขึ้นเพื่อควบคุมฝ่ายตรงข้ามที่เป็น “กลุ่มเสื้อแดง” ในระเบียบแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นความกังวลที่ยิ่งกว่าของกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองต่อ “การเมืองแบบธนาธิปไตย” (money politics) เราอาจโยงรากฐานของ “การเมืองใหม่” (New Politics) กลับไปหาความไม่พอใจของภาคประชาสังคมที่มีต่อการที่ชนชั้นการเมืองไม่มีความสามารถหรือไม่ยอมที่จะปฏิรูปได้ แม้ความคิดที่จะขจัดการทุจริตหรือการเห็นแก่พวกพ้องออกไปจากระบบการเมืองโดยการพักใช้ประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งเองก็เป็นการกระทำที่ผิดพลาด แต่การทำเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเหล่าพลเมืองคาดหวังเหนือสิ่งอื่นใดให้รัฐมีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยผู้แทนซึ่งเคารพเส้นแบ่งระหว่างประโยชน์ สาธารณะกับประโยชน์ส่วนตน
ประชาสังคมนักวิชาการและสื่อทางเลือกได้ออกมาต่อต้านการกดขี่โดยการติดตามกระบวนการทางการเมืองอย่างใกล้ชิดและการใช้พลังควบคุมของสังคมในระดับพื้นฐาน การที่พลเมืองมีความตระหนักยิ่งขึ้นว่าตนเป็นผู้มีบทบาททางการเมืองทำให้เกิดการเรียกร้องให้ได้มีส่วนร่วมมากขึ้นในการหารือและตัดสินใจเหล่าพลเมืองเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นและเรียกร้องที่จะนำเสนอมุมมองผลประโยชน์ และค่านิยมของตน การตัดสินใจแบบที่ชนชั้นนำมอบจากข้างบนลงมาสู่เบื้องล่างได้รับการต่อต้านมากยิ่งขึ้นทุกทีจนถึงขนาดที่จะทำให้ระเบียบในแนวตั้งจะถูกกร่อนทำลายลงและมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกลไกการหารือในแนวนอนขึ้น แต่ประเทศไทยยังต้องสร้างวัฒนธรรมการหารือภายใต้กฎระเบียบอันเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายขึ้นมาเพื่อเสริมกระบวนการนี้ด้วย
วิธีการดั้งเดิมในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจและการตัดสินใจเฉพาะกลุ่มในห้องที่ปิดประตูเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนคาดหวังอีกต่อไปประชาชนไม่ทนต่อปัญหาเรื้อรังของกระบวนการทางการเมืองอีกต่อไปการปลดปล่อยตนเองเพื่อความเสมอภาคของพลเมืองเป็นการท้าทายต่ออำนาจแนวตั้งความไม่สอดคล้องกันระหว่างความคาดหวังกับความเป็นจริงทำให้เกิดวิกฤติความชอบธรรมในระเบียบทางการเมืองสังคม
2. วิกฤติในระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรม: ความคิดใหม่ ๆ และพหุลักษณ์สวนทางกับรากฐานทางกฎระเบียบ
ความคิดใหม่ ทายความคิดดั้งเดิม -และท้าทายความคิดใหม่ด้วยกันเอง
ส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงในค่านิยม ความคิดและอัตลักษณ์ที่มากกว่าในสังคมไทยคือความคาดหวังใหม่ ๆ เกี่ยวกับบทบาทของรัฐและคุณภาพของกระบวนการทางการเมือง สภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ทำให้ความต้องการและเป้าหมายของประชาชนเปลี่ยนไปอีกทั้งได้ทำให้มุมมองและทัศนะของประชาชนเปลี่ยนไปเช่นกัน การที่เศรษฐกิจไทยเข้าร่วมในส่วนแบ่งแรงงานโลกยิ่งขึ้นและการที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางมีวิถีชีวิตแบบเป็นสากลมากขึ้นทำให้เกิดการแพร่กระจายของความคิดใหม่ๆ จำนวนชาวต่างชาติจากทั่วโลกที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ชนชั้นกลางได้รับอิทธิพลและความคิดจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมและการเมืองที่หลากหลายกลุ่มเยาวชนได้รับอิทธิพลทั้งจากทางตะวันตกและจากเอเชียตะวันออกพร้อม ๆ ไปกับที่มีการแพร่กระจายมุมมอง ค่านิยม และ วาทกรรมใหม่ ๆ เหล่านี้ความคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองกับรัฐ การสร้างความชอบธรรมให้อำนาจ และรูปแบบการบริหารประเทศที่เหมาะสมจึงได้รับการเผยแพร่ไปด้วย ความคาดหวังว่าสังคมพหุนิยมควรรับมือกับความขัดแย้งและหาทางออกอย่างไรก็กำลังเปลี่ยนไปมีการตั้งคำถามกับการใช้ค่านิยมดั้งเดิมของไทยเช่นความสามัคคีหรือความสงบเมื่อค่านิยมเหล่านั้นไปขัดขวางเสรีภาพในการแสดงออกและรูปแบบที่เป็นประชาธิปไตยในการร่วมหารือและตัดสินใจ พลเมืองผู้ปลดปล่อยได้ตั้งคำถามกับความชอบธรรมแบบดั้งเดิมและเรียกร้องในอธิปไตยของประชาชน เป็นธรรมดาว่าสภาพเช่นนี้จะทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างความคิดเกี่ยวกับอธิปไตยสองแบบซึ่งจะสามารถแก้ไขได้ด้วยความรอมชอมกันภายใต้ประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเท่านั้น ความคิดและบรรทัดฐานใหม่ ๆ ดังกล่าวจึงท้าทายต่อรากฐานทางกฎเกณฑ์ของระเบียบดั้งเดิม
ความคิดที่สวนทางกันเป็นตัวบ่มเพาะศักยภาพความขัดแย้ง
แต่ความคาดหวังและความคิดใหม่เหล่านี้ก็ไม่ได้หลอมรวมกันเป็นกระบวนทัศน์ใหม่อันเป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด แท้จริงแล้วการแพร่ขยายของความคิดใหม่ มุมมองใหม่เกี่ยวกับโลก และวาทกรรมใหม่ ๆ เป็นสิ่งบ่มเพาะให้เกิดกลุ่มค่านิยม ความเคลื่อนไหวทางสังคม และโครงการทางการเมืองต่าง ๆ ขึ้น คำอธิบายมูลเหตุที่แท้จริงของวิกฤติจาก “กลุ่มเสื้อแดง” และ ”กลุ่มเสื้อเหลือง” ที่อยู่ตรงข้ามกันและคำอธิบายวิธีการที่ดูน่าจะได้ผลที่สุดในการแก้ปัญหาก็เป็นตัวบ่งชี้ถึงภาพที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับ “ระเบียบที่ดี” (Good Order) และ “ความชอบธรรมในการบริหารประเทศ” (Legitimacy of Governance) เสียเอง วิสัยทัศน์ของกลุ่มเสื้อเหลืองที่เห็นสังคมถูกยึดโยงรวมกันเป็นหนึ่งด้วยค่านิยมแบบเดิมนั้นกลับถูกท้าทายโดยโครงการของ “กลุ่มเสื้อแดง” ผู้ปลดปล่อยและยึดถือพหุนิยมด้านอัตลักษณ์ความคิดเห็น และค่านิยม ดังนั้น กลุ่มหัวรุนแรงในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงปฎิเสธประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและเรียกร้องให้สถาบันซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจที่สูงสุดของประเทศคือพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งผู้นำที่มีคุณธรรม แต่ในทางกลับกันกลุ่มเสื้อแดงกลับยอมรับว่า ความขัดแย้งถาวรระหว่างผลประโยชน์และค่านิยมที่ต่างกันเป็นสิ่งปกติและมุ่งเสริมสร้างกลไกที่สามารถไกล่เกลี่ยความขัดแย้งดังกล่าวและเอื้ออำนวยการหารือกับการตัดสินใจแบบประชาธิปไตยได้ความตึงเครียดระหว่างค่านิยมและวิสัยทัศน์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งบ่มเพาะศักยภาพที่จะเกิดความขัดแย้งอย่างยิ่ง
ศักยภาพดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการดึงสัญลักษณ์ของประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่วิถีชีวิต และผู้ที่เป็นแบบอย่างพฤติกรรมไปอย่างรวดเร็วมักทำให้เกิดวิกฤติอัตลักษณ์ ท่ามกลางความสับสนนี้ ประเทศจำเป็นต้องมีสัญลักษณ์ของชาติและประเพณีเพื่อให้ประชาชนยึดเหนี่ยว จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่วิกฤติการเปลี่ยนแปลงมักมาตกผลึกอยู่รอบ ๆ ประเด็นสัญลักษณ์เพราะเป็นการทำให้ประชาชนสามารถเข้าใจ (ทางอารมณ์) ความขัดแย้งนานาของกระบวนการที่มีความซับซ้อนยิ่งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้อีกทั้งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีการต่อสู้กันอย่างมีอารมณ์ร่วม และด้วยอารมณ์รุนแรงในประเด็นสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น บทบาทของราชวงศ์หรือความหมายของชาติความขัดแย้งทางการเมืองที่แบ่งขั้วครอบครัวและเพื่อนฝูงนั้นเป็นมากกว่าการต่อสู้เพื่ออำนาจของชนชั้นนำที่แข่งขันกันแต่ชวนให้นึกถึงความขัดแย้งทางวัฒนธรรมมากกว่า
วัฒนธรรมทางการเมืองไม่สามารถยอมรับพหุลักษณ์ได้
สิ่งที่ท้าทายระเบียบดั้งเดิมไม่ได้มีเพียงความตึงเครียดระหว่างความคิด ค่านิยม และอัตลักษณ์ที่สวนทางกันเท่านั้น ที่จริงแล้วความเป็นพหุลักษณ์เองก็สร้างความท้าทายต่อระเบียบแบบรวมกลุ่มด้วย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยเคยรวมเป็นหนึ่งหรือมีความเหมือนกันถึงขั้นที่จะเป็นนัยของการสามัคคี ในพื้นที่รอบนอกชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมได้ต่อต้านอัตลักษณ์ที่บังคับให้ตนเป็น “ไทยพุทธ” มาตลอด การล่าอาณานิคมที่แข็งกร้าวไร้ความเป็นธรรมภายในราชอาณาจักร ได้ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อในจังหวัดภาคใต้ที่ประชากรเป็นมลายู-มุสลิมและทำให้คนเสียชีวิตนับพัน ปัจจุบัน ความไม่พอใจที่คนภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือมีต่อกรุงเทพฯ ถูกสะท้อนออกมาในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง แม้แต่ในภาคกลางวิถีชีวิตที่หลากหลายก็ได้ทำให้เกิดกลุ่มอัตลักษณ์และค่านิยมต่าง ๆ มากมายในเขตมหานครของกรุงเทพฯ มีวัฒนธรรมย่อยอยู่หลากหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างมิติหญิงชายเริ่มเปลี่ยนแปลง และมีการยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายยิ่งขึ้นอย่างเปิดเผย กระแสบริโภคนิยมและจริยธรรมของทุนนิยม โลกาภิวัฒน์ต่างสวนทางกับการนาประเพณีและวิถีชีวิตแนวพุทธกลับมาใช้อย่างกว้างขวาง
การรับมือกับพหุลักษณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งท้าทายสำหรับวัฒนธรรมการเมืองไทย ความคิดเรื่องสังคมที่เรากำหนดได้เอง ซึ่งเป็นสังคมที่สามารถต่อรองหาทางออกจากความขัดแย้งถาวรทางผลประโยชน์ได้นั้น เป็นสิ่งที่สวนทางกับวิธีการตัดสินใจดั้งเดิมแบบบนลงล่างของสังคมไทย การเห็นต่าง การโต้แย้ง จนกระทั่งการมีความขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งที่น่าชังสำหรับอุดมคติของความสมัครสมานกลมเกลียว และมักถูกนำมาเชื่อมโยงกับภาวะเสื่อมทรามของสังคมในทางเดียวกัน
ความขัดแย้งทางการเมืองดูเหมือนจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา แม้ในกลุ่มผู้ที่เป็นนักคิดในระดับชั้นยอดก็ยังมีความรู้สึกเช่นนี้ สิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับปรากฏกาณ์ที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ นี้ คือการที่ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาปฏิเสธพหุนิยมอย่างเปิดเผย ในมุมมองของผู้สนับสนุนกลุ่มเสื้อเหลืองสิ่งที่เปลี่ยนไปมิใช่สังคม หากแต่เป็นชนชั้นนำทางการเมืองที่ไม่สามารถทำหน้าที่ทางศีลธรรมของตนได้ดังนั้นคำตอบของ “กลุ่มเสื้อเหลือง” คือการทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งโดยการฟื้นฟู ค่านิยมดั้งเดิมแต่การปฏิเสธอัตลักษณ์ใหม่และค่านิยมที่แตกต่างอย่างสุดโต่งเช่นนี้ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่ขยายวงออกไปมากกว่าความขัดแย้งทางการเมืองเสียแล้ว
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมชี้ให้เห็นถึงวิกฤติฝังลึกของวัฒนธรรมทางการเมือง วัฒนธรรมการเมืองของไทยซึ่งผดุงอุดมคติเรื่องความสมัครสมานกลมเกลียวนั้น โดยแท้จริงแล้วไม่สามารถยอมรับการมีค่านิยมวิถีชีวิตอัตลักษณ์กับเรื่องราวที่เป็นลักษณะร่วมของสังคมสมัยใหม่ ที่หลากหลายและไม่สามารถย้อนคืนไปสู่สภาพเก่าได้ ระเบียบทางการเมืองจึงไม่สามารถพัฒนากลไกที่เหมาะสมมารับมือกับพหุลักษณ์ ในความพยายามที่จะส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันบางครั้งทางการก็ทำเกินไปจนกลายเป็นการบังคับให้ทุกคนเหมือนกันหมดหรือบังคับให้ทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกัน แม้คนไทยหลายคนจะยังยึดถืออุดมคติเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความสมัครสมานแต่ก็ไม่ไว้ใจรัฐที่ดูเหมือนจะปฏิเสธอัตลักษณ์ของตนไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตของตน หรือไม่ยอมรับค่านิยมของตนหากพหุลักษณ์ คือข้อแม้ที่สำคัญของการมีสังคมหลังสมัยใหม่ (post-modern society) ระเบียบการเมืองและวัฒนธรรมซึ่งผดุงการปฏิบัติที่เหมือนกันและการแสดงความคิดที่เหมือนกันก็จะหมดความชอบธรรม
ไป
3. สรุป
โดยสรุปเราอาจเข้าใจความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ได้ด้วยการยอมรับว่ามีวิกฤติระเบียบการเมือง สังคม และวัฒนธรรมอยู่เบื้องหลังวิกฤติดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเพียงความล้มเหลวของบุคคลหรือสถาบัน แต่เกิดเพราะระบบการบริหารราชการที่รวมศูนย์และกึ่งเผด็จการลำดับชั้นทางสังคมที่จัดในแนวตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมืองที่รวมกลุ่มไม่สามารถรับมือกับความซับซ้อนพหุลักษณ์และความขัดแย้งของเศรษฐกิจ และสังคมไทยได้อีกต่อไปในเวลาเดียวกันเหล่าพลเมืองที่ได้ปลดปล่อยตนเองจากระบบเดิมก็เรียกร้องให้มีรัฐที่สนองตอบต่อความต้องการของประชาชนยิ่งขึ้นมีผู้นำทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม และให้ตนมีส่วนร่วมยิ่งขึ้นในเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนรวม การแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองต้องใช้มากกว่าการตกลงครั้งใหญ่ ระหว่างชนชั้นนำฝ่ายตรงข้ามกันวิกฤตินี้ จะผ่านพ้นไปได้หากสามารถปรับระเบียบทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมให้สนองตอบต่อความต้องการของสังคมไทย ซึ่งกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น
IV จะจัดให้มีการเจรจาสัญญาประชาคมใหม่อย่างไร
สังคมยุคใหม่ส่วนมากต้องผ่านวิกฤติการเปลี่ยนแปลงลักษณะคล้ายกันนี้ก่อนที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมประชาธิปไตยที่รุ่งเรือง เช่นเดียวกันวิกฤติในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้ ก็ด้วยการปรับเปลี่ยนระเบียบดั้งเดิมให้สอดคล้องกับสภาพกรอบทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปภายในวิกฤติครั้งนี้ ยังมีวิกฤติย่อยทางการเมืองที่จะแก้ไขได้ด้วยการปรับสมดุลในลำดับชั้นทางสังคมและการเมือง
แนวทางต่าง ๆ ในการรับมือกับวิกฤติของประเทศไทย
ไม่ใช่ผู้มีบทบาททุกคนที่จะเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดการเปลี่ยนแปลงโดยปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพใหม่ ๆ ฝ่ายชนชั้นนำผู้ปกครองดั้งเดิมและผู้สนับสนุนที่เป็นกลุ่มเสื้อเหลืองยังคงต่อสู้ เพื่อผดุงไว้ซึ่งระเบียบในแนวตั้ง คนกลุ่มนี้มองว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการเผชิญหน้ากันทางการเมืองของผู้มีบทบาทซึ่งเป็นกลุ่มผสมที่แข่งขันกัน ดังนั้น แต่ละกลุ่มจึงมีพันธมิตรที่กว้างขวางซึ่งคอยต่อสู้เพื่อขจัดความท้าทายด้วยวิธีการทุกอย่างที่จำเป็น
บางกลุ่มอาจมุ่งกำหนดการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดกลุ่มที่เรียกว่า "วิศวกรสถาบัน" (Institutional Engineers) พยายามคลี่คลายวิกฤติด้วยการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ซึ่งจะเป็นฉบับที 20 นับแต่สิ้นสุดการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช) และด้วยการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน จึงเกิดคณะกรรมาธิการ คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และการริเริ่มต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อค้นหากฎหมายการเลือกตั้งที่ดีที่สุด กฎหมายพรรคการเมืองที่ดีที่สุด ฯลฯ ในบริบทประเทศไทย แนวทางแบบนักวิชาการและบางครั้งเป็นมุมมองของชนชั้นนำเช่นนี้จึงมองข้ามความจริงพื้นฐานที่ว่าระเบียบทางกฎหมายจะได้มาก็ด้วยการต่อสู้ทางอำนาจเสมอ พูดง่ายๆ คือเราไม่สามารถออกกฎหมายมาบอกให้มีประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบากจึงจะได้มา
กลุ่มที่สามคือกลุ่ม "ผู้ยึดถือเหตุผลตามกฎเกณฑ์" (Normative Rationalists) เป็นกลุ่มที่ต้องการให้มีการเจรจาและปรองดอง มีนักเคลื่อนไหวที่เป็นสมาชิกประชาสังคม รัฐบุรุษอาวุโส นักวิชาการ และนักสื่อสารมวลชนที่ต่อสู้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยภายใต้สภาวการณ์ที่อันตรายยิ่งเพื่อสิทธิมนุษยชน แต่คนเหล่านี้มักถูกกีดกันในความยุ่งเหยิงของความขัดแย้งทางการเมืองในระดับท้องถิ่นความพยายามปรองดองได้ผลที่น่ายินดีแต่ตราบใดที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายยังคิดว่าท้ายที่สุดตนจะสามารถชนะฝ่ายตรงข้ามได้ความสำเร็จดังกล่าวก็จะไม่นำไปสู่ผลใดกลุ่ม "ผู้ยึดถือเหตุผลตามกฎเกณฑ์" มีความคล้ายกับกลุ่ม “วิศวกรสถาบัน”.ตรงที่มีความเชื่อในความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชนและเชื่อว่าฝ่ายที่มีความขัดแย้งทุกฝ่ายจะมีความสามารถใช้เหตุผลชี้นำการกระทำของตนได้ จนบางครั้งกลุ่มนี้จะมองข้ามโครงสร้างอำนาจในระเบียบแนวตั้งและผลประโยชน์ ในระเบียบนั้นของผู้มีบทบาท นอกจากนี้การแตกกลุ่มย่อยและการแบ่งขั้วมักทำให้ความมีศักยภาพในการจัดการและข้อได้เปรียบทางการเมืองของประชาสังคมอ่อนแอลง
ประเทศไทยต้องต่อรองสัญญาระชาคมอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามวิกฤติความเปลี่ยนแปลงนี้จะแก้ไขได้หากมีการปรับระเบียบที่กินวงกว้างกว่าแค่การปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน และหากการปรับนั้นรวมถึงการปรับระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรมด้วยระเบียบใหม่ จะต้องไม่เป็นระเบียบที่กำหนดขึ้นโดยฝ่ายหนึ่งที่เป็นชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ ฝ่ายเดียว และจะต้องไม่เป็นระเบียบที่บังคับให้ชนชั้นนำยอมรับเพราะจะทำให้เกิดการต่อต้าน (อย่างรุนแรง) ได้ ตราบใดที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักรู้สึกว่าตนไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยความขัดแย้งทางการเมืองก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ต้องมีคือกระบวนการหารือทางสังคมในวงกว้างที่จะทำให้สังคมสามารถกำหนดหลักการพื้นฐานซึ่งจะเป็นตัวจัดการวิธีการอยู่ร่วมกันของประชาชนต่อไป ผู้มีบทบาทหลักต้องทำความตกลงกันเรื่องการแบ่งหน้าที่กันทำในการกำหนดระเบียบใหม่ขึ้นมาเรื่องการสร้างความชอบธรรมให้อำนาจและเรื่องการแจกจ่ายทรัพยากร พูดอีกอย่างหนึ่งคือไทยต้องต่อรองสัญญาประชาคมของประเทศขึ้นมา
จะจัดการให้มีการหารือกันอย่างไรภายใต้ความตึงเครียด
ความลำบากอยู่ที่การจัดให้มีกระบวนการดังกล่าวท่ามกลางวิกฤติการเปลี่ยนแปลง สภาวะลำบากสำหรับหลายฝ่ายและปัจจัยทางจิตวิทยาเป็นสิ่งที่ขัดขวางต่อการหารือทางสังคมในวงกว้างเกี่ยวกับสาเหตุต้นตอของวิกฤติและวิธีแก้ไขความขัดแย้ง
- วิกฤติความเปลี่ยนแปลงมักเต็มไปด้วยสภาวะลำบากทางสังคมที่ไม่รู้จะเลือกอย่างไร ในความขัดแย้งทางสังคมอาจมีสถานการณ์ที่ทั้งสองกลุ่มอาจไม่ให้ความร่วมมือแม้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองที่จะทำเช่นนั้นในประเทศไทยเราอาจพบสภาวะที่ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็แพ้ทั้งคู่ (prisoner’s dilemma) เช่นนี้ได้ในภาคความมั่นคงซึ่งหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานพลเรือนที่กำกับดูแลออกมาให้เหตุผลอธิบายการไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางประชาธิปไตยของตนด้วยการอ้างพฤติกรรมเดียวกันของฝ่ายตรงข้าม ในช่วงก่อนการเลือกตั้งเหล่าศัตรูของทักษิณก็พบกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกดังกล่าวเมื่อต้องเผชิญกับความโกรธของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ทำให้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้าไปหาผู้ที่น่าจะชนะการเลือกตั้ง หรือจะไปเข้ากลุ่มกับศัตรูของเขาดี สภาพนี้แสดงให้เห็นว่าความหวังที่จะมี “การตกลงครั้งใหญ่ ” อาจไม่สามารถเป็นจริงได้เพราะผู้มีบทบาทหลักขาดความไว้ใจซึ่งกันและกัน และก็ความไว้ใจอีกนั่นแหละที่ถูกทำลายไปในความขัดแย้งที่สร้างผลกระทบอย่างมากและบางครั้งเกิดความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีกระบวนการหารือในวงกว้างเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดองที่น่าจะฟื้นฟูความไว้ใจขึ้นมาให้เป็นรากฐานในปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
-
สำหรับสังคมรวมที่คุ้นเคยกับการติดสินใจจากข้างบนลงมา การหารือแบบพหุนิยมอาจสร้างความตระหนกขึ้นได้ในระเบียบแนวตั้งหากเกิดปัญหาใดก็จะยังมีผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้ตัดสินใจเป็นทางเลือกสุดท้ายได้ เราต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิดความไว้ใจพื้นฐานจากการมีปฏิสัมพันธ์ที่อิสระของพลังทางสังคม หรือแม้แต่เกิดจากความขัดแย้งต่อเนื่องระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับค่านิยมที่ตรงข้ามกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีสำหรับสังคมโดยรวมได้ สำหรับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบแนวตั้งและรวมกลุ่มของประเทศไทย นับเป็นเรื่องท้าทายที่จะนำกระบวนการต่อรองแบบมีส่วนร่วมในแนวนอนมาใช้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กระบวนการหารือทางสังคมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในปัจจุบัน หากเราต้องการสร้างกระบวนการต่อรองสัญญาประชาคมขึ้นอีกเราต้องดำเนินการกับอุปสรรคที่ได้
กล่าวมาแล้ว โดยกระบวนการหารือควรเป็นไปตามหลักการดังต่อไปนี้
-
กระบวนการหารือตามแนวนอนที่มีส่วนร่วม สิ่งที่อยู่ใจกลางความขัดแย้งทางการเมืองคือวิกฤติความชอบธรรมของระเบียบแนวตั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความชอบธรรมขึ้นมาใหม่หากชนชั้นนำทำการตกลงกันเองในกลุ่มพวกเดียวกันแล้วนำรัฐธรรมนูญใหม่มาบังคับให้สังคมยอมรับ โดยรวมแล้วเราควรจัดช่องทางให้ความคิดขัดแย้งเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายได้ไปเผชิญหน้ากันในโครงสร้างทางรัฐสภาแทน กระนั้นก็ตามอาจมีผู้บอกว่าคณะกรรมาธิการรัฐสภาหรือแม้แต่คณะกรรมการปฏิรูปรัฐธรรมนูญนั้นก็เป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ บางกลุ่มหรือแม้แต่เป็นพวกชนชั้นนำก็ได้ความท้าทายในเรื่องนี้ คือการจัดให้มีกระบวนการแนวนอนที่มีส่วนร่วมซึ่งจะทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายสามารถนำเสนอผลประโยชน์ ค่านิยม และมุมมองของตนได้
-
การหารือต้องมีกฎเกณฑ์ ในประเทศไทย ความเห็นต่างได้ถูกกำราบโดยวัฒนธรรมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลำดับชั้นทางสังคมที่แบ่งแยก และการปราบปรามทางการเมืองมายาวนานแล้ว ปัจจุบันผู้มีบทบาทหลายกลุ่มคิดว่าการแสดงออกแบบเหมารวมที่มีแต่การเปรียบเทียบไร้เหตุผล การกล่าวหาจนเกินไป และการใช้ภาษารุนแรงเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในบรรยากาศร้อนแรงของความขัดแย้งทางการเมือง ดูเหมือนว่าผู้เกี่ยวข้องจะนิยมแสดงความคิดเห็นโดยเลือกใช้ไม้แข็ง แต่บางกลุ่มไม่สามารถยอมรับได้แม้กระทั่งคำวิจารณ์ที่มีมูลและไม่รุนแรงจนเกินไปและท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ของรัฐจะอ้างถึงการล่วงเกินทางวาจาเพื่อหาข้อแก้ตัวให้กับการที่ตนกดขี่อิสรภาพในการแสดงออกของผู้อื่น แม้เมื่อมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อยุติการวิจารณ์ที่ไม่รุนแรงนักก็ตาม การหารือควรเป็นไปตามความคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างอิสระของฮาแบรท มาส (Habermas) และควรมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้สามารถเกิดความเข้าใจระหว่างกันได้ พูดอีกอย่างก็คือ ประเทศไทยต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะสมานอารมณ์และจุดมุ่งหมายของการต่อสู้ทางการเมืองในประเด็นปัญหาที่ประสบอยู่ให้ได้ และให้มีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นั้นในวัฒนธรรมการสื่อสารของประเทศด้วย ประเทศไทยจึงยังมีความท้าทายที่จะต้องสร้างวัฒนธรรมการหารือที่จะสามารถยอมรับการเห็นต่างได้แต่ในขณะเดียวกันก็มุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อระเบียบแนวตั้งกำลังกร่อนยุบลงสังคมจะต้องหาแนวทางรอมชอมในแนวนอนและหาแนวทางการสร้างผลโดยไม่ต้องหันไปพึ่งผู้นำ
-
เน้นภาพรวม กลุ่ม “วิศวกรสถาบัน” เป็นกลุ่มที่ต้องการแก้ไขวิกฤติด้วยการออกแบบกรอบทางสังคมที่ดีที่สุดโดยเฉพาะ แต่ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีจากการปฏิรูปรัฐธรรมนูญควรจะเป็นเครื่องเตือนใจกลุ่มนี้ได้ว่าไม่ให้ประเมินสหสัมพันธ์ของความเปลี่ยนแปลงทางสถาบันต่าง ๆ ในระบบสังคมที่ซับซ้อนต่ำจนเกินไป และจะไม่มีวันเป็นไปได้ที่จะนำกระบวนการหารือทางสังคมในแนวนอนที่มีส่วนร่วมมาใช้หารือกันทางเทคนิควิชาการเรื่องการออกแบบสถาบันการหารือนั้นควรจะเน้นในบรรทัดฐานภาพรวมมากกว่า อีกทั้งควรหาข้อตกลงเรื่องวัตถุประสงค์และหลักการต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้เริ่มต้นการออกแบบภูมิทัศน์ทางสถาบันดังกล่าว สังคมควรสร้างเข็มทิศขึ้นมาเพื่อนำทางกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยคำนึงถึงการรักษาแรงส่งของการทำให้เป็นประชาธิปไตยไว้เมื่อพลังนั้นเกิดขึ้น
-
แนวทางทางการเมืองต่อการเปลี่ยนแปลง ในตอนท้าย ระเบียบทางสังคม-การเมืองที่มีเสถียรภาพทั้งหลายจะทำเพียงสะท้อนให้เห็นถึงสมดุลอำนาจระหว่างขั้วต่าง ๆ ของสังคม การจัดสรรหน้าที่ระหว่างขั้วต่าง ๆ และกรอบทางกฎหมายนั้นจะได้มาด้วยการต่อสู้เชิงอำนาจเสมอ ดังนั้น การต่อรองสัญญาประชาคมอีกครั้งจึงเกิดขึ้นบนอำนาจที่รองรับเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองร่วมผู้มีบทบาทหัวก้าวหน้าที่แยกกระจายกันและมีความอ่อนแอในการจัดกลุ่มจึงต้องรวมพลังกัน กลุ่มผสมหัวก้าวหน้าควรสร้างข้อได้เปรียบเพื่อยกสถานะของตนและระดมชนกลุ่มใหญ่เพื่อสร้างระเบียบที่เปิดกว้างมีส่วนร่วม และเป็นธรรม
โดยสรุป
การจัดให้มีกระบวนการหารือในประเด็นที่อ่อนไหวเช่นการปรับเปลี่ยนระเบียบทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมนั้น จะเป็นความท้าทายอย่างแน่นอน บรรยากาศที่มีการแบ่งขั้วในความขัดแย้งทางการเมือง และภาวะบิดเบือนต่างๆ ของวิกฤติการเปลี่ยนแปลงยิ่งทำให้เป็นการยากขึ้น แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปล่อยไปตามโชคชะตา ความมีพลังของความเคลื่อนไหวทางสังคมและสื่อทางเลือก ความกล้าหาญของประชาสังคม และความเชี่ยวชาญของนักวิชาการได้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปในทางที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่ชนชั้นนำหลายคนอยากจะยอมรับ ในแง่หนึ่ง ภาวะบิดเบือนที่พบในปัจจุบันเป็นเพียงด้านมืดของการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมที่น่าประทับใจในช่วงหลายทศวรรษ ที่ผ่านมาเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่การเมืองราชอาณาจักรไทยจะต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ทันกับพัฒนาการนั้น
