DSIพบ3ขบวนการทุจริตสวัสดิการรักษาพยาบาล
ธาริตแถลงพบ บุคลากรการแพทย์มีเอี่ยว 3 ขบวนการทุจริตสวัสดิการรักษาพยาบาลรัฐ "สวมสิทธิ-ยิงยา-ช้อปปิ้ง" คลังลั่นหากพบจะถูกเรียกเงินคืน-ดำเนินคดีอาญา
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมด้วย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระ ทรวงการคลัง ร่วมแถลงข่าวการตรวจสอบการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว ตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน
นายธาริต กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมบัญชีกลางพบว่าปัจจัยที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นมีที่มาจาก 1 กลุ่มข้าราชการสูงอายุเพิ่มมากขึ้น 2.ราคายาสูงขึ้น 3.ยาที่เป็นต้นแบบมีราคาสูงขึ้น 4.มีปัญหาโรงเรื้อรังสูง และ 5.ทุจริต
จากการร่วมกันตรวจสอบประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในระบบสาธารณสุขระหว่างกรมบัญชีกลางกับดีเอสไอ พบความผิดปกติดังนี้ 1.หลักฐานทางการเงินที่โรงพยาบาลขอเบิกกรมบัญชีกลางไม่ตรงกับข้อมูลค่ารักษาที่ส่งเบิกในระบบจ่ายตรง 2.ลายมือชื่อแพทย์ในเวชระเบียนไม่ตรงกับลายมือชื่อแพทย์ในใบสั่งยา 3.ตามหลักฐานเวชระเบียนพบว่ามีข้อมูลเข้ารับการรักษา จำนวน 6 ครั้ง แต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจริงเพียง 2 ครั้ง 4.การสั่งจ่ายยาเพื่อการรักษาไม่สัมพันธ์กับอาการป่วยของผู้ป่วย แพทย์สั่งจ่ายยาให้กับญาติผู้ป่วยที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการ 5.มีการสั่งจ่ายยาในปริมาณมากเกินกว่าที่ผู้ป่วยจะใช้ได้หมด
นายธาริต กล่าวว่า สำหรับรูปแบบการทำผิดแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.การสวมสิทธิ ผู้ป่วยหรือไม่มีอาการป่วย ซึ่งไม่มีสิทธิตามสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวเข้าสวมสิทธิ์รักษาพยาบาลของบุคคลที่มีสิทธิ์ ซึ่งดีเอสไออยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อหาตัวบุคคลที่สวมสิทธิ์ผู้อื่น 2. การยิงยา พบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายยา มีการสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็นและเหมาะสมสัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย หรือจ่ายยาในลักษณะสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เน้นการจ่ายยานอกบัญชีหลักซึ่งมีราคาแพง โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทผู้ผลิตยาหรือตัวแทนจำหน่ายยาในลักษณะของผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินตอบแทน ของกำนัล การเดินทางไปต่างประเทศ กรณีนี้ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก
“จากการตรวจสอบของดีเอสไอ พบบุคคลากรทางการแพทย์ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะยิงยา จำนวนหลายครั้งเกินปกติจากบริษัทยาที่มียอดการสั่งจ่ายสูง โดยพบว่าแพทย์ผู้นั้นได้รับผลประโยชน์จากบริษัทยาโดยได้รับสิทธิในการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งกรณีนี้ดีเอสไอได้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป “อธิบดีดีเอสไอ กล่าว
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการช้อปปิ้งยา คือผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวจะเบิกค่ารักษาพยาบาล ในลักษณะเดินสายขอตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆในช่วงวันเดียวกัน หรือระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมักเดินทางไปพบแพทย์เกินกำหนดนัด เป็นเหตุให้ได้รับยาจำนวนมากยิ่งขึ้น มีการดำเนินการลักษณะเป็นขบวนการ มีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วย บุคคลากรทางการแพทย์ ร้านขายยา บริษัทยา โดยปริมาณยาที่ได้รับไปหากบริโภคยาที่ได้รับไปทั้งหมดจะมีผลให้เป็นอันตรายแก่ร่างกายมากกว่าจะมีผลในการรักษาพยาบาล และมีการนำไปจำหน่ายหรือส่งมอบให้บุคคลอื่นต่อ ซึ่งดีเอสไอกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอเป็นคดีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ต่อมากรมบัญชีกลางและกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงการให้บริการผู้ป่วยด้วยการให้ผู้ใช้บริการสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ต้องลงนามรับยาและรับทราบค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเองทุกครั้ง และผู้ป่วยต้องเข้ามารับบริการด้วยตนเองด้วย โดยใน 2 สัปดาห์กฎกระทรวงฉบับใหม่จะประกาศใช้ซึ่งจะมีทำให้ความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ยา และเครื่องสำอางค์ อยู่ในอำนาจคดีพิเศษได้ทันที
ด้าน น.ส.สุภา กล่าวว่า จากการแก้ไขปัญหาดังกล่าวทำให้สถิติค่ารักษาพยาบาลสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ในปี 2554 ลดลงจากเดิม 62,200 ล้านบาท เป็น 61,500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าว่าในปี 2555 นี้จะลดลงให้ได้อีก 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้มากขึ้นและมีความจะเข้มงวดมากขึ้นหากพบข้าราชการมีพฤติกรรมช้อปปิ้งยาจะถูกเรียกเงินคืน ลงโทษทางวินัย และดำเนินคดีอาญา
ส่วนบุคคลในครอบครัวจะถูกเรียกเงินคืน ดำเนินคดีอาญา และถอนสิทธิการรักษาพยาบาล ซึ่งภายในเดือน พ.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะออกหนังสือเวียนถึงผู้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลให้ทราบว่าหากมีการกระทำความผิดจะถูกถอนสิทธิรักษา นอกจากนี้ยังจะมีการออกระเบียบใหม่กำหนดให้ผู้ป่วยรักษาพยาบาล 1 โรงพยาบาล ต่อ 1 โรค โดยอยู่ระหว่างรอการทำระบบของโรงพยาบาล นอกจากนี้กระทรวงการคลังได้เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีการกำหนดรหัสยา ให้ยาชนิดเดียวกันใช้รหัสเดียวกันเพื่อความสะดวกในการควบคุมและสั่งจ่ายยา และสามารถนำมาประเมินให้เห็นภาพสถิติการใช้ยาทั้งระบบได้
