"ทักษิณ - พระเจ้า" คู่ปรองดองที่ทำให้ประเทศสันติสุข

“ความปรองดอง” หรือ “ความรู้รักสามัคคี” เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข หลายๆคน พยายามหาทางออก โดยดูว่า ควรให้ใครเจรจากับใคร เพื่อให้เกิดความปรองดอง ผมคิดว่า คู่ที่สำคัญที่น่าจะดีที่สุด คือ คู่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” กับ “พระเจ้า” โดยมีหลักการคำสอนที่สำคัญหลายประการ ดังนี้
1. พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายา พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีความงดงาม และความดีเหมือนอย่างพระองค์ แต่ไม่ใช่หุ่นยนต์ ความดีที่งดงาม คือ ความมีเสรีภาพ เลือกทางสว่างก็ได้ หรือเลือกทางมืดก็ได้ แต่เต็มใจเลือกทางสว่างมากกว่า เหมือนเรามีลูก ถ้าลูกทำดีเมื่อถูกบังคับ หรือเมื่ออยู่ต่อหน้า เราก็อาจจะรู้สึกว่ายังดีไม่พอ เราย่อมอยากให้ลูกมีเสรีภาพแท้ในการดำเนินชีวิต แต่ในเสรีภาพนั้น เขาเลือกทางอันชอบธรรม
2. มนุษย์หลงไปในทางบาป แต่มนุษย์ตั้งแต่ยุคปฐมกาล ถูกซาตานล่อลวงให้หลงไปในทางบาป ละทิ้งพระเจ้า ยิ่งในยุคที่มารทดลองพระเยซู จะมีการพาพระองค์ขึ้นไปภูเขาสูง มองให้เห็นนครยิ่งใหญ่ แล้วซาตานก็ทดลองพระองค์ว่า “จงก้มหัวนมัสการเรา เราจะมอบนครยิ่งใหญ่นี้ให้แก่เจ้า” แต่พระองค์ทรงเลือกทางชอบธรรม ทรง “ไม่ยอมก้มหัวให้มาร” จะมีประโยชน์อันใด ถ้าแม้ได้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างในโลก แต่ชีวิตไม่รอด ต้องตกนรกที่มีแต่คนร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ... ในทางสว่าง ทางอันชอบธรรมของพระองค์นั้น มีหลักธรรมสำคัญหลายเรื่องซึ่งหากไม่ดำเนินตามนั้น ก็เป็นทางบาป
• ความรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระเจ้าทรงเป็นความรัก ซาตานเป็นความเกลียดชัง ยุยงให้แตกแยก เราจึงควรไม่แบ่งแยกผู้คน หากประชาชนเห็นต่างในเรื่องใด ก็เอาเรื่องนั้น มาเปิดเผยให้เข้าใจความจริงเดียวกัน ให้ทุกคนตัดสินอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ยุยงให้แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน
• ความกตัญญู หนึ่งในธรรมบัญญัติ 10 ประการ (ซึ่งหลายคนอาจเทียบว่า คล้ายๆศีล 5) คือ “จงให้เกียรติแก่บิดามารดา แล้วเจ้าจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก” เราทุกคนเกิดในแผ่นดินไทย ได้รับพระคุณแผ่นดินไทย พึงคิดกตัญญูต่อแผ่นดิน ไม่ยุยงปลุกปั่นทำให้พี่น้องไทยร่วมแผ่นดินแม่เดียวกันต้องแตกแยก
• ไม่มุสา ไม่เป็นพยานเท็จ เหตุการณ์หลายเรื่อง หากใช้หลัก พวกมากก็แปลว่าถูก ก็ยากจะทำให้เกิดการปรองดอง แต่ต้องอยู่บนความจริงเดียวกัน พระเยซูตรัสสอนว่า ในการพูดกันนั้น “จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ เกินกว่านั้นเป็นความชั่ว” เมื่อใดที่เรายังดำรงชีวิตอยู่ในความเท็จ จิตสำนึกในใจก็จะยังฟ้องผิดอยู่ ทำให้เราไม่สบายใจ ทำให้เราอึดอัดเป็นทุกข์ วิธีปลดเปลื้องจากภาระหนักอกนั้น ก็คือ พูดความจริง เป็นวิธีเดียวที่ทำให้เรารักษาความน่าเชื่อถือได้ คดีในศาลนั้นได้ตัดสินแล้วจากข้อมูลที่ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ อันเป็นเหตุนำไปสู่การยึดทรัพย์ จึงน่าที่จะตั้งคำถามว่า “ซุกหุ้น” ดังข้อกล่าวหา หรือ “โอนหุ้นจริง” ดังคำอธิบายของครอบครัว ก็เอาหลักฐานมาดู มีการสร้างหนี้ปลอมไหม ? ของ 1,500 ล้านบาท ที่แม่ซื้อมา ได้ขายให้ลูกด้วยมูลค่า 4,500 ล้านบาท ภายในเวลา 4-5 เดือนหรือไม่ ? มีการทยอยคืนปันผลเหมือนไม่ได้โอนหุ้นจริงไหม ? ถ้าได้นำประเด็นเหล่านี้มาเปิด “จริงก็ว่าจริง เท็จก็ว่าเท็จ” ก็น่าจะทำให้เกิดความเข้าใจตรงกัน อาจยังเห็นต่าง มีใจเมตตา ให้อภัยแตกต่างกันไปบ้าง แต่น่าจะไม่แตกต่างจนเป็นแตกแยกอย่างปัจจุบันนี้
3. พระเจ้าทรงประทานพระบุตรคือพระเยซูคริสต์ ให้เรา โดยมีพระประสงค์ให้มนุษย์มีโอกาสกลับใจ หลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป มนุษย์ก็เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า และผลของความบาป ก็คือความตาย แต่เพราะพระองค์ยังทรงรักและห่วงใยมนุษย์ จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาประสูติและนอนอยู่ในรางหญ้า ทรงสอนให้มนุษย์รักกัน ให้อภัยกัน มีคนถามพระองค์ว่า 7 ครั้งพอไหม ? พระองค์ตอบว่า “7 x 70 ครั้ง” พระองค์ทรงให้โอกาส “กลับใจใหม่” ดังคำสอนที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” เมื่อเรากลับใจ เลือกเดินตามทางพระองค์ เราก็จะได้รับความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์
4. แม้คนบาปที่สุด พระองค์ก็ยังทรงให้โอกาสกลับใจเสมอ ในยุคพระเยซูนั้น เขาตรึงพระองค์ไว้กับโจรอีกสองคน ในที่สุด โจรคนหนึ่งกลับใจ กล่าวว่า “เราก็สมกับโทษนั้นก็จริง (โจรสารภาพ ยอมรับในความผิด และยอมรับโทษจากความผิด) แต่ท่านผู้นี้ (พระเยซู) หาได้กระทำผิดประการใดไม่” แล้วคนนั้นจึงทูลพระเยซูว่า “พระเยซูเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในแผ่นดินของพระองค์” ฝ่ายพระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้ เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”
ไม่ว่าเราทำบาปหนาเพียงใด เรายังมีโอกาส “กลับใจ” แต่ก็มีคนถามมากว่า “อย่างนั้นก็ดีสิ รอถึงนาทีสุดท้ายก่อนค่อยกลับใจอย่างโจรผู้กลับใจนั้นก็ยังไม่สาย แต่พระเจ้าทอดพระเนตรมองคนที่จิตใจ หากยังคิดว่า “ดีสิ จะได้ทำบาปไปก่อน ค่อยกลับใจนาทีสุดท้าย” แสดงว่ากลับใจจริงหรือ ? ยังเป็นสุขในความบาปอยู่หรือเปล่า ? เราจึงควรกลับใจจากทางบาปจริงๆ และดำเนินชีวิตจากนี้ไป บนทางชอบธรรม
อาหารกินเกินมื้อละ 1-2 พันบาท ก็ไม่รู้จะกินอะไรแล้ว นอนคืนหนึ่งเกินกว่าเตียงใหญ่ๆหนึ่งก็นอนยาก มีสมบัติจะมากมายอีกเพียงใด แต่ถ้าจิตสำนึกยังฟ้องผิดว่า เรายังอยู่ในทางบาป จะได้อะไร
“กลับใจ” มาสู่ทางชอบธรรม กลับมาหาพระเจ้า ก็จะทำให้ชีวิตได้ความรอด และสังคมไทยก็รอดและมีแต่สันติสุขร่มเย็นตลอดไปครับ
