เตือนนายจ้างให้ค่าจ้างรวมสวัสดิการ300บาท
"อาทิตย์"จี้คสรท.-แรงงาน ส่งข้อมูลนายจ้างขู่ไล่ออก บังคับเซ็นนำสวัสดิการรวมเป็นค่าจ้างวันละ 300 บาท จงใจที่จะไม่ปรับขึ้นค่าจ้างตามกฎหมาย
นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีนายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)ออกมาระบุว่าได้รับร้องเรียนจากแรงงานผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรณีค่าจ้างไม่เป็นธรรมโดยถูกนายจ้างข่มขู่ไล่ออก และบังคับให้เซ็นยินยอมรับค่าจ้างตามที่บริษัทกำหนดโดยนำสวัสดิการค่าจ้างต่างๆมารวมกับค่าจ้างเพื่อให้ได้วันละ 300 บาทว่า อยากให้คสรท.เร่งส่งข้อมูลในเรื่องนี้มายังกสร.หรือตัวแรงงานที่เป็นผู้ร้องเรียนในกรณีข้างต้นเข้ามาร้องเรียนที่กสร.ก็ได้เพื่อที่ตนจะได้สั่งให้พนักงานตรวจแรงงานใช้อำนาจตามกฎหมายออกหนังสือเตือนนายจ้างให้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยการปรับขึ้นค่าจ้างตามอัตราใหม่
ทั้งนี้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวของนายจ้างเป็นการจงใจที่จะไม่ปรับขึ้นค่าจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 โดยจะให้เวลา 30 วัน หากไม่ปฏิบัติตาม จะเอาผิดตามกฎหมายโดยมีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีที่นายจ้างบังคับเซ็นยินยอม ทางกสร.ไม่มีอำนาจไปเอาผิดได้เพราะเป็นเรื่องระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หากมีการฟ้องร้องกันก็ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป
นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายจ้างนำเอาสวัสดิการเช่น ค่าครองชีพ ค่าเซอร์วิสชาร์จไปรวมกับค่าจ้างเพื่อให้ได้วันละ 300 บาท ตามหลักกฎหมายแล้วนายจ้างไม่สามารถนำสวัสดิการต่างๆไปรวมเป็นค่าจ้างขั้นต่ำได้เพราะเป็นการเปลี่ยนสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างยกเว้นกรณีนายจ้างกับลูกจ้างจะทำความตกลงกันและทั้งสองฝ่ายยินยอม ซึ่งจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง
อย่างไรก็ตาม จะต้องดูว่าสวัสดิการที่จะไปรวมเป็นค่าจ้างนั้นนายจ้างมีเจตนาในการจ่ายอย่างไรและมีการจ่ายกันในลักษณะใด หากเป็นการให้ค่าตอบแทนเช่น ค่าครองชีพ ค่าเซอร์วิสชาร์จ ซึ่งมีการจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ก็สามารถนำมารวมเป็นค่าจ้างได้ และจะต้องนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณเวลาปรับเงินเดือน จ่ายโบนัสและโอทีด้วย แต่ถ้าเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจในการทำงานโดยจ่ายเป็นครั้งคราวก็ไม่สามรถนำมารวมเป็นค่าจ้าง
อธิบดีกสร. กล่าวว่า ส่วนกรณีนายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทยเปิดเผยถึงผลสำรวจผลกระทบธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทโดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงสุดเป็นธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจดูแลรักษาความปลอดภัย(ยาม) พนักงานโรงแรม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างนั้น โดยส่วนใหญ่แม่บ้านและยามมีสถานภาพเป็นลูกจ้างของบริษัทรักษาความปลอดภัย บริษัทรับจ้างทำความสะอาด ซึ่งจะต้องได้รับการปรับเพิ่มค่าจ้างอีก 40% หากอยู่ใน 7 จังหวัดเช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต ก็จะต้องได้รับการปรับเพิ่มค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาทเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทรักษาความปลอดภัย และบริษัทรับจ้างทำความสะอาด จะไปรับเหมางานจากสถานประกอบการต่างๆและจัดส่งแม่บ้านและยามที่อยู่ในสังกัดเข้าไปทำงานในสถานประกอบการต่างๆ หากเลิกจ้างแม่บ้าน ยาม ทางบริษัทรักษาความปลอดภัย และบริษัทรับจ้างทำความสะอาด ก็จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยและเงินสิทธิประโยชน์อื่นๆตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้
"ผมไม่เชื่อว่าแม่บ้านและยาม จะถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมาก เพราะงานเหล่านี้เป็นงานเฉพาะ ถ้าไม่จ้างแม่บ้าน ยามแล้วใครจะมาทำหน้าที่ดูแลและทำความสะอาดสถานประกอบการต่างๆ" นายอาทิตย์ กล่าว

