บริหารความเสี่ยง “ภัยพิบัติ” ยุทธศาสตร์สำคัญขององค์กร ในปี 2555

บทเรียนจากภัยพิบัติในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาน้ำท่วมใหญ่ประเทศไทยในช่วงปลายปี 2554 ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งทบทวนบทบาทในการบริหารประเทศและการจัดการองค์กร เพื่อรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
การรับมือภัยพิบัติ หรือ ภัยรูปแบบใหม่ต่างๆในวันนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคิดนอกกรอบ เนื่องจากถ้าเราคิดแบบเดิมๆ เราก็จะไม่มีความพร้อมในการรับมือภัยธรรมชาติได้ เนื่องจากถ้าช่วงไหนภัยพิบัติมามากขึ้น หรือมาในรูปแบบอื่นๆ ก็จะไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีแผนรองรับ ดังนั้นในการจัดการภัยพิบัติ หรือการจัดการความเสี่ยงต่างๆ จะต้องคิดถึงสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นให้ครอบคลุมทุกเรื่อง โดยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าน่าจะมีเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง
การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติจึงเป็นเรื่องสำคัญ และไม่ใช่เพียงเรื่องของการรู้เท่าทันภัยพิบัติเท่านั้น แต่การบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต้องมีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่นสูงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ผศ. ดร. ทวิดา กมลเวชช จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการสาธารณะ และมีประสบการณ์ปฏิบัติงานลงพื้นที่กรณีเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในหลายประเทศ ได้เคยหยิบยกมาพูดไว้ในงานสัมมนาการรับมือภัยพิบัติของเครือฯว่า เหตุการณ์ จี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด ที่สหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในขณะนั้นเป็นเรื่องใหม่ เพราะไม่เคยมีการจี้เครื่องบินแล้วพลีชีพนำเครื่องบินพุ่งชนตึกมาก่อน ในอดีตทุกครั้งที่มีการจี้เครื่องบินจะต้องมีการติดต่อจากผู้ก่อการร้ายเพื่อขอเจรจาต่อรองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นไม่มีการติดต่อสื่อสารใดๆ ทำให้แผนงานของสหรัฐฯที่มีอยู่ไม่สามารถรับมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ก่อให้เกิดการขับเครื่องบินลำที่ 2 พุ่งชนตึกที่ 2 สร้างความเสียหายหนักขึ้นไปอีก
หรือตัวอย่างใกล้ตัว กรณีน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 ที่ลุกลามสร้างความเสียหายทั้งในพื้นที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟูประเทศ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากการไม่มีแผนรองรับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ปีที่แล้วฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ปริมาณน้ำฝนมีมากกว่าทุกปี การบริหารจัดการน้ำในกรอบเดิมจึงไม่สามารถใช้ได้ ส่งผลให้กรุงเทพฯจมน้ำ
ดังนั้น ตั้งแต่ต้นปี 2555 แทบทุกหน่วยงานจึงตื่นตัว จับเข่าคุยถึงมาตรการรับมือกับภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วมกันอย่างเข้มข้น เพราะในอนาคตอันใกล้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.)ในรอบปีที่ผ่านมาแม้จะสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี แต่ในปีนี้ก็ไม่ได้ประมาท เตรียมพร้อมตั้งรับกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจะเปิดเวทีให้บริษัทในเครือฯได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการรับมือกับน้ำท่วมใหญ่ในรอบปีที่ผ่านมาแล้ว ยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ด้านภัยพิบัติมาเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ผู้บริหารและพนักงานได้ตระหนักถึงความสำคัญของการคิดนอกกรอบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ในองค์กรขนาดใหญ่การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ ในยุคนี้ เพราะการขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ต้องใช้พลังร่วมค่อนข้างมาก แผนการจัดการจึงต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งเครือฯ มีมาตรฐานเดียวกัน แต่วิธีการจัดการในแต่ละพื้นที่ แต่ละชุมชนสามารถปรับให้เข้ากับแต่ละพื้นที่ได้ แต่ไม่ถึงกับเป็นการกระจายอำนาจ (decentralization) 100 %
ข้อดีของการบริหารจัดการแบบนี้ คือ นอกจากจะมีความคล่องตัวในการดำเนินงานแล้วยังสามารถสื่อสารกับหน่วยงานอื่นได้เพราะใช้มาตรฐานเดียวกัน
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตแล้ว ผู้บริหารจึงต้องเปลี่ยนมุมมองไม่ประเมินสถานการณ์ในรูปแบบเดิมๆที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น แต่ต้องเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ๆไปพร้อมๆ กันด้วย
ซึ่งหลักการจัดการความเสี่ยงโดยทั่วไปจะมี 3 ขั้นตอน คือ 1. การประเมินค่าความเสี่ยง 2. การจัดลำดับความเสี่ยง 3. การบริหารจัดการมาตรการความเสี่ยง
ในเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยง สิ่งที่ทุกองค์กรจะลืมไม่ได้เลย คือ การจัดเก็บฐานข้อมูลต่าง ๆซึ่งบริษัทเอกชนส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญกับการ BACK UP ข้อมูลอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องคิดต่อ คือ การเคลื่อนย้ายสถานที่ในการปฏิบัติงาน กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน การจัดทำฐานข้อมูลพนักงานเพื่อสะดวกในการติดต่อประสานงาน
ดังนั้น หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดการความเสี่ยง ต้องมีความเป็นมืออาชีพ ผ่านการฝึกอบรมเป็นอย่างดี มีทีมที่สามารถปฏิบัติหน้าที่แทนทีมหลักได้ครบทุกกระบวนการ
และสิ่งที่ทีมปฏิบัติงานด้านการจัดการความเสี่ยงไม่ควรลืม คือ อย่าคิดว่าตัวเองปลอดภัย เพราะจะทำให้ลืมประเมินศักยภาพและความเสี่ยงของตนเอง และลืมนึกถึงภัยข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น
ที่สำคัญต้องประเมินโอกาสที่จะเกิดว่ามีความเสี่ยงสูงหรือต่ำ แต่โอกาสที่จะเกิดสูงไม่ได้แปลว่าจะต้องมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย เพราะเราสามารถจัดการลดความเสี่ยงนั้นได้ด้วยมาตรการการจัดการความเสี่ยงต่างๆ ปิดจุดอ่อนที่จะทำให้โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงนั้นต่ำลงได้
