“อมร จันทรสมบูรณ์” ฉะนักกฎหมายไทยนั่งดูละครการเมือง ลืมหน้าที่ตนเอง

ผู้เชี่ยวชาญ กม.มหาชน ค้านข้อเสนอลบล้างผลพวงการปฏิวัติ ชี้เป็นการช่วยเหลือผู้กระทำผิด ตอก ส.พระปกเกล้า บอกไม่ชัดให้ล้มการตรวจสอบ คตส.เพราะอะไร
วันที่ 4 เมษายน ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ปาฐกถา เรื่อง "ผลไม้มีพิษ มาจากต้นไม้ที่มีพิษจริงหรือไม่" ในงานเสวนาวิชาการ ครั้งที่ 2 "การปรองดองvs.การปฏิรูปประเทศไทย" ของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารบุญชนะ อัตถากร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การที่นักการเมืองบางพรรค มีความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 โดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหาร ไม่ใช่วิธีการที่เป็นประชาธิปไตย
"การให้นำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 กลับมาใช้บังคับ ขณะที่กลุ่มอาจารย์กฎหมายจากคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แสดงความเห็นในทางเดียวกันว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย และมาจากการปฏิวัติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ในปี 2549 และชักชวนให้คนไทยช่วยกันล้มล้าง ผลพวงทั้งหลายที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหารทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนความคิดที่ว่า "ผลไม้มีพิษ มาจากต้นไม้ที่มีพิษ"
ศ.ดร.อมร กล่าวต่อว่า ในส่วนการแถลงข่าวผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง การสร้างความปรองดองแห่งชาติ ในส่วนข้อเสนอให้มีการนิรโทษกรรม และให้เพิกถอนผลทางกฎหมาย ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งหมด แล้วดำเนินการใหม่ตามกระบวนการยุติธรรมปกตินั้น สถาบันพระปกเกล้านำเสนอโดยไม่ได้กล่าวถึงเหตุผล
"สถาบันพระปกเกล้าไม่ได้ชี้แจงเหตุผลว่า เพราะเหตุใด จึงเสนอให้มีการล้มล้างผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด อีกทั้งไม่ได้บอกว่า การล้มล้างผลทางกฎหมายดังกล่าว เป็นเพราะ คตส.เป็นองค์กรที่แต่งตั้งหรือมาจากผู้กระทำการปฏิวัติ รัฐประหาร อีกทั้ง การดำเนินคดีในศาลยุติธรรมจากผลการสอบสวนและตรวจสอบโดย คตส.ได้ทำให้ประชาชนทั่วไปขาดความเชื่อถือ เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และขั้นตอนใดของ คตส." ศ.ดร.อมร กล่าว และว่า เช่นเดียวกับที่นักการเมืองอาวุโสบางท่าน แนะนำให้เลิกแล้วต่อกัน ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมแบบบูรณาการ ด้วยเห็นว่าเผด็จการรัฐประหาร เป็นต้นเหตุของความผิดทั้งสิ้น
"ผมไม่สามารถเห็นด้วยกับคำกล่าวที่เปรียบเทียบว่า การปฏิวัติ รัฐประหาร เสมือนต้นไม่ที่มีพิษ และออกลูกเป็นผลที่มีพิษ เพราะเป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจาก "คน" ไม่ใช่ "ต้นไม้" หน้าที่ของนักกฎหมาย หรือนักวิชาการที่มีต่อสังคม คือ ให้ความจริงต่อสังคม ทั้งนี้ การปฏิวัติ รัฐประหารเป็นการกระทำของคน ที่ไม่ใช่ต้นไม้ ซึ่งจะเกิดผลอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้กระทำ ว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ซึ่งหากเป็นคนดี การกระทำดังกล่าวก็จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ดังนั้น การลบล้างผลพวงจากการปฏิวัติจึงเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิด"
ศ.ดร.อมร กล่าวอีกว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับ ปี 2550 เป็นผลงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตามรัฐธรรมนูญปี 2549 แต่ก็ยังปรากฏว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับดังกล่าวยังคงใช้ "ระบบสถาบันการเมือง" ที่เป็นระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้การบริหารประเทศเสื่อมทรามลง และเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น อันเป็นสาเหตุของการปฏิวัติ
"รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 กับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มีความเหมือนกัน คือ เป็นฉบับที่บัญญัติให้พรรคการเมืองนายทุน เป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ มีอำนาจควบคุมทั้งรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร กำหนดตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำ กำหนดเสียงข้างมากในการลงมติสภาฯ กำหนดการเสนอกฎหมาย แต่สิ่งที่แปลกของประเทศไทย คือ อาจารย์กฎหมายและนักวิชาการของไทย "มองไม่เห็น" อำนาจของพรรคการเมืองนายทุน" ศ.ดร.อมร กล่าว และว่า อาจารย์และนักกฎหมายกลุ่มดังกล่าว มองดูการบริหารประเทศของเราเหมือนกับ กำลังดู "ละคร" บนเวที ซึ่งก็ยอมรับและสนุกสนานไปกับบทละคร โดยลืมหน้าที่ของตนเอง ที่ต้องบอกให้คนไทยเห็นความจริง
"ความจริงที่ว่า คือ ละครบนเวทีนั้น มี "ผู้กำกับการแสดง" อยู่เบื้องหลัง และเป็นผู้กำหนดบทให้แก่นายกรัฐมนตรี รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนฯ ซึ่งผู้กำกับการแสดงที่อยู่เบื้องหลังละครทางการเมืองนี้ ก็คือนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่จ่ายค่าจ้างและแบ่งผลประโยชน์ให้บรรดาตัวละครที่แสดงให้เราดูอยู่บนเวที"
ศ.ดร.อมร กล่าวถึงปัญหาการเมืองของประเทศไทยว่า เป็นปัญหาของระบบสถาบันการเมืองที่เกิดมาจาก "ระบบเด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบที่รัฐสภา" ประเทศเดียวในโลก ที่ไม่ใช่ปัญหาจากการเผด็จการโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ "ไม่มีอนาคต" ถ้าไม่ยกเลิก "ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน"
ในส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อการปฏิรูปการเมือง ศ.ดร.อมร กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่สมาชิกสภาจะมาถกเถียงกันว่าจำนวนสมาชิก ของ ส.ส.ร.จะมีจำนวน 99 คน หรือ 200 คน หรือเป็นเรื่องที่จะมาตั้งปัญหาถามกันว่า การเลือกสมาชิก ส.ส.ร.ดูต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือไม่ สำหรับการเลือกตั้งกำหนดตัวบุคคลที่จะเป็น ส.ส.ร.ได้ เหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไป แต่ประเทศไทยคงไม่มีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่เหมือนกับประธานาธิบดี Woodrow Wlson ของสหรัฐอเมริกา
"มองๆ ไปก็เห็นแต่คนธรรมดา ที่สนใจการแต่งตัว และชอบการร้องเพลง ประเทศไทยคงไม่มี statesman ซึ่งผมไม่ขอแปลว่ารัฐบุรุษ แต่จะหมายถึงผู้ที่มีความรู้ เสียสละและที่สำคัญ ต้องเป็นผู้บังเอิญมีอำนาจหรือบุญบารมีพอที่จะทำการปฏิรูปการเมืองให้คนไทย หากยังทำเช่นที่กล่าวไม่ได้ ประเทศไทยอย่าเพิ่งไปคิดถึงการแก้ปัญหาใน 4 จังหวัดภาคใต้ หรือปัญหาการเสียดินแดนให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะหากยังแก้ระบบการบริหารประเทศของตัวเราเองไม่ได้ ก็คงแก้ปัญหาภายนอกไม่ได้"
