อดีต รมว.ยธ.ชี้ระบบศาลไทยมาไกลเกินกว่าจะกลับไปเป็นระบบศาลเดี่ยว
'รสนา' ฉะผู้บริหารกับสภาหลอมเป็นหนึ่ง ระบุสภาเป็นเพียงพิธีกรรม ชี้เหลือแค่ศาลที่จะเป็นเครื่องมือรักษาสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ด้านอดีตอธิการบดี มธ. บอกอยากให้ระบบศาลเป็นอย่างไรต้องไปถามผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
วันที่ 5 เมษายน สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย จัดงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ “ประเทศยุคเปลี่ยนผ่าน ? : ประเทศไทยกับระบบศาล” ทั้งนี้ มีการเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง บทบาทศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองในสายตา นักการเมือง นักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ และผู้ได้รับผลกระทบ โดยมี นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ศ.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการสามัญองค์กรอิสระ และนายโภคิน พลกุล อดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุดและอดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมเสวนา ณ อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า การไปศึกษาแบบอย่างการปกครองในต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ดี ต้องไม่ลืมว่าที่นี่คือประเทศไทย ที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนให้เป็นประเทศอื่นได้ เราเพียงแค่ไปศึกษา แล้วนำมาผสมผสาน หลอมรวมกับระบบของไทย ซึ่งในขณะที่ระบบสังคมการเมืองนั้นมีวิวัฒนาการเป็นลำดับ เราต้องมองกลับอีกมุมในส่วนของวิชาการด้วย เพราะเรื่องของระบบศาลและความยุติธรรมต้องอาศัยหลักวิชาการเข้ามาเป็นส่วน ประกอบและพื้นฐานในการพัฒนา ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสากลด้วย
“สิ่งที่เป็นงานวิชาการหรือประสบการณ์ของประเทศอื่น ต้องดูด้วยว่าของไทยเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของไทยเองมีวิวัฒนาการทางด้านรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาเรื่อยๆ จากเมื่อก่อนมีศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียวที่ชี้ขาด แต่ทั้งนี้ก็มีปัญหาขัดแย้ง มีความเห็นตรงข้ามและเริ่มมีความคิดว่าควรมีศาลเพิ่ม สิ่งนี้จึงเป็นวิวัฒนาการของประเทศ แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นระบบศาลคู่ คือมีศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองเพิ่มขึ้นมา”
ระบบศาลเดี่ยวใช้กับประเทศไทยไม่ได้ บุคลากรไม่พร้อม
นายพีระพันธ์ กล่าวต่อว่า แม้ตนจะเห็นด้วยกับระบบศาลเดี่ยว แต่ก็มองว่าระบบนี้ใช้ในประเทศไทยไม่ได้ เนื่องจากผู้พิพากษาต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจรอบด้านจริงๆ แต่ว่าระบบศาลของไทยเป็นระบบข้าราชการ เป็นระบบสอบเข้าไป ฉะนั้นบุคลากรในระบบศาลเดี่ยวได้ถูกฝึกถูกสอนให้ยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง แต่ทั้งนี้กฎหมายก็เป็นเพียงเครื่องมือ เพราะสิ่งที่เป็นหัวใจคือความยุติธรรม
“ตุลาการของไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะใช้ระบบศาลเดี่ยว สิ่งหนึ่งมาจาการที่บุคลากรของศาลไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เกิดความมั่นใจในระบบกระบวนการ แต่ทั้งนี้ ในประเด็นที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนั้นต้องอาศัยเข้าใจในประเด็นทางการเมือง การพัฒนาทางการเมือง และสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ควรได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเป็นประเด็นที่ลึกลงไปด้วย”
อดีต รมว.ยุติธรรม กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยวันนี้ใช้ระบบศาลคู่เป็นที่ยอมรับในสากลและมีการพัฒนาให้ทันกับ ต่างประเทศแล้ว ฉะนั้นประเทศไทยมาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปใช้ระบบศาลเดี่ยวแล้ว
ศาลเป็นที่เครื่องมือรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ด้านนางสาวรสนา กล่าวถึงเรื่องที่น่าเป็นห่วงของศาลปกครองว่า ในส่วนของการคัดสรรตุลาการศาลปกครองสูงสุดนั้น ควรต้องมีขั้นตอนที่ถูกต้อง เพราะจากการคัดสรรครั้งล่าสุด มีช่องโหว่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการให้คะแนนผู้ที่มาสอบ รวมทั้งในเรื่องของระบบความอาวุโสด้วย ซึ่งเป็นความไม่ยุติธรรมต่อผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง
“หากคนในศาลเองยังรู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรมแล้ว อย่างนี้จะให้ความยุติธรรมกับใครได้ ทั้งนี้ หากมีความพยายามที่จะผลักดันให้กลับไปสู่ศาลเดี่ยวแล้ว ศาลบางท่านก็อาจจะจับมือกับนักการเมืองโดยสาเหตุนี้ได้ง่ายๆ ทั้งนี้ ในอดีตศาลจะอยู่ในแวดวงของตนเองเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักธุรกิจหรือกลุ่มทุน ซึ่งเหล่านี้อาจทำให้เสียดุลยภาพของศาลได้” นางสาวรสนา กล่าวและว่า สังคมไทยมีความรู้สึกว่ามีความกลัว ว่าหากมีการขัดแข้งขัดขา หรือเป็นศัตรูแล้วจะถูกกลั่นแกล้งได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง โดยอย่างยิ่งในระบบของศาล
นางสาวรสนา กล่าวต่อว่า ศาลเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุด เนื่องจากระบบประชาธิปไตยของไทยมีฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติคือสภา และฝ่ายตุลาการ คือศาล โดยปัจจุบันปัญหาอยู่ที่ว่าผู้บริหารและสภาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉะนั้นก็จะเหลืออำนาจเพียงสอง ฝ่ายนิติบัญญัติจึงเป็นเพียงแค่พิธีกรรม เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ต้องอาศัยเสียงข้างมาก และแม้เสียงข้างมากจะเป็นของฝ่ายค้าน ก็มีการกลับมติได้ตามใจผู้บริหาร ฉะนั้นในแง่นี้ ศาลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับประชาชน
“ประชาชนมีเครื่องมือน้อยมาก ที่จะทำให้สิ่งที่อยู่ในรัฐธรรมนูญเป็นจริงได้ ฉะนั้น ศาลจึงเป็นเครื่องมือและเป็นที่พึ่งเดียวของประชาชน จึงควรเป็นที่ยึดเหนี่ยวและที่ยึดมั่นให้กับประชาชน เพราะหากไม่มีเครื่องมือที่ดีพอในการรักษาสิทธิเสรีภาพก็ไม่มีความหมาย”
นางสาวรสนา กล่าวด้วยว่า หากมีการร่างใหม่แล้วทำให้ประชาชนสูญเสียสิทธิและขาดเครื่องมือในการพิทักษ์ รักษาสิ่งที่เป็นสิทธิของตนนั้น ก็เป็นเรื่องที่มีปัญหา และนอกจากนี้แล้วผู้ที่หวังจะแก้รัฐธรรมนูญอาจจะเข้ามาล้วงในเรื่องเศรษฐกิจ ด้วย จึงควรมีการจับตาดูให้ดี
ค้านแก้รัฐธรรมนูญปี 50
ขณะที่นายสุรพล กล่าวว่า ไม่เห็นเหตุผลที่จะมี การแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในประวัติศาสตร์ที่มีการ ทำประชามติจากประชาชน และยังใช้มาแล้วในรัฐบาล 4 สมัยโดยไม่มีปัญหา และทั้งนี้หากจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญจากการเผด็จการก็ไม่ได้ เพราะคณะความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ไม่ได้เป็นผู้ร่างขึ้นมา
“ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งหลายเรื่องที่ยังไม่ตกผลึกจริงนั้นอาจก่อให้เกิดแรงต้านอยู่ไม่น้อย เหมือนกัน ความคิดของคนในบ้านเมืองเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งนี้ การแก้รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้นต้องการให้มีการยกเลิกศาล ในขณะที่อ้างว่าจะกลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจศาลเกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันในตัว”
นายสุรพล กล่าวถึงจุดร่วมของหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมที่มีที่มาแตกต่างกันในแต่ละ ประเทศนั้นคือ การมีองค์กรศาลที่เป็นอิสระคอยควบคุม ตรวจสอบการใช้อำนาจ โดยในประเทศที่มีระบบศาลคู่จะมุ่งเน้นการรักษาสิทธิของประชาชน ในขณะที่ในยุโรปเป็นการควบคุมไม่ให้ฝ่ายปกครองใช้อำนาจเกินไป ซึ่งเป็นหลักที่ลงตัวอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปแตะต้องอำนาจของตุลาการ พร้อมกันนี้ มองว่า การที่มีระบบศาลคู๋ โดยมีศาลหนึ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ และอีกศาลหนึ่งทำหน้าที่วินิจฉัยเรื่องที่ประชาชนมีข้อพิพาทกัน นั้นมีความลงตัวและเป็นไปด้วยดี และไม่มีใครคิดว่ามีปัญหา
ทั้งนี้ นายสุรพล กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ มีผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือสภา เหนือรัฐบาล และดูเหมือนจะอำนาจเหนือองค์กรอื่นๆคอยทำงานเบื้องหลังอยู่ ฉะนั้น ในทำนองเดียวกันของระบบศาลเอง ก็คงต้องย้อนไปถามคนๆนั้นว่าต้องการจะให้เป็นอย่างไร แล้วก็จึงจะเป็นไปตามนั้น
โภคินไม่เห็นด้วยยุบศาล ควรไปแก้ที่ข้อบกพร่อง
ด้านนายโภคิน กล่าวถึงที่มาของศาลว่า เป็นไปโดยสุจริต เนื่องจากอยากให้มีระบบที่ชัดเจน เนื่องจากการทำงานของศาลนอกจากรัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้แล้วว่าต้องปราศจาก อคติ ยังต้องมีการถวายคำสัตย์ปฏิญาณด้วย และศาลนั้นมีวิธีพิจารณา เฉพาะของศาลนั้นๆ ซึ่งบางครั้งวิธีพิจารณาแต่ละวิธีถูกออกแบบไว้เหมาะสมกับเนื้อหาในแต่ละ อย่าง ซึ่งหากนำการพิจารณาในส่วนที่เหมาะสมมาใช้จะทำให้เกิดช่องว่างได้
“ฉะนั้นจึงต้องหาวิธีพิจารณาเฉพาะขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่าง ซึ่งในส่วนของศาลปกครองเอง ในขณะที่มีการวางระเบียบการจัดตั้งศาลปกครองก็มีการคิดว่าจะเอาวิธีการ พิจารณาอะไรมาอุดช่องว่าง โดยเสียงข้างมากรวมถึงผม ก็ได้เสนอให้เอาหลักกฎหมายทั่วไปที่เหมาะสมและอธิบายได้ว่าเหมาะสม ที่สอดคล้องกับแนวคิดพิจารณาคดีปกครอง ไม่เช่นกันจะขัดแย้งกันเอง”
นายโภคิน กล่าวถึงจุดอ่อนของศาลปกครองอีกอย่าง คือ ไม่มีการจัดระเบียบความอาวุโส ไม่มีการไหลไปตามระบบอาวุโส เหมือนระบบราชการ ซึ่งหากยังไม่มีการจัดระเบียบ หลักประกันของศาลปกครองก็จะไม่มี แต่อย่างไรก็ตาม ตนไม่เ
