เปิดตัวเจ้าหนี้ บ.เพรซิเดนท์ ข้องใจ“กรุงไทย”อุ้มเสี่ยอภิชาติ-ถูกโยนบาปคดีฟอกเงิน?
เปิดอกช้ำๆ "เรวัต แสงนิล" "เจ้าหนี้" บ.เพรซิเดนท์ เผยทำทุกวิถีทาง แต่ไม่ได้เงินคืน แถมถูกโยนบาปฟอกเงินโครงการบ้านเอื้ออาทร อัดยับ ป.ป.ช. ไม่คุ้ย ทั้ง อคส.เสียหาย 5.8 พันล. งง !! "อภิชาติ จันทร์สกุลพร" โผล่ถือหุ้นใหญ่ บ.ธัญรักษ์ ค้าข้าวทั้งที่ถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว
ในบรรดาเจ้าหนี้ จำนวนเกือบ 30 ราย วงเงินกว่า 2.5 หมื่นล้านบาทที่เกิดขึ้นจากการ"เบี้ยวหนี้"ในการทำธุรกิจข้าว ของ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นคดีใหญ่โตเมื่อหลายปีก่อน
ธนาคารกรุงไทย จะอยู่ในฐานะ เจ้าหนี้ "ผู้โชคดี" ที่สุด!!
เพราะมีข้อมูลปรากฏชัดเจนว่า ภายหลังบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ประสบปัญหาในการทำธุรกิจอย่างหนัก จนถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย ธนาคารกรุงไทย ได้ให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ เข้ามารับเป็นลูกหนี้จำนวน 1.05 พันล้านบาท กับธนาคารแทน ก่อนจะปล่อยวงเงินกู้ก้อนใหม่จำนวนพันกว่าล้านบาท เพื่อให้บริษัทมีทุนไปหมุนทำธุรกิจต่อ
และดูเหมือนว่า บริษัท สยามอินดิก้า จะไม่ทำให้ธนาคารกรุงไทย ผิดหวัง เพราะในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถเข้าประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้เป็นจำนวนมาก ทำให้มีกำลังเพียงพอที่จะใช้หนี้ที่เกิดขึ้นกับธนาคารกรุงไทย ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยมูลหนี้ล่าสุด เหลือเพียงแค่หลัก 1,000 กว่าล้านบาท จากวงเงินหนี้เดิมที่มีจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท
ล่าสุดภายหลังจากที่ บริษัท สยามอินดิก้า ชนะการประมูลปรับปรุงข้าวเก่าในสต็อกรัฐบาล จำนวน 3 แสนตัน เพื่อส่งออกไปให้อินโดนิเซีย ในช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรมากพอที่จะนำมาชำระหนี้ล่วงหน้า กับธนาคารกรุงไทย ถึง 2-3 งวดด้วย
คำถามที่น่าสนใจ คือ เจ้าหนี้รายอื่นๆ ของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เป็นอย่างไรบ้าง?? ได้รับการชำระหนี้คืนไปหมดแล้วหรือยัง ??
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยจาก นายเรวัต แสงนิล หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) โรงสี พ.แสงวัฒนา 3 หนึ่งในเจ้าหนี้ตามสัญญาเช่าโกดัง กับ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ จำนวน 8,952,417.70 บาท ว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถติดตามทวงเงินคืนมาจากบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ได้แม้แต่บาทเดียว
"เราตามหนี้ไม่ได้เลย เพราะบริษัทเพรซิเดนท์ฯ ถูกศาลฟ้องล้มละลายไปแล้ว และก็รอแค่ 3 ปี เขาก็พ้นจากการถูกฟ้องล้มละลายตามข้อกฎหมาย เข้าใจว่าปี 2556 เขาก็คงพ้นแล้ว ทั้งบริษัทเพรซิเดนท์ และตัวนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่"
นายเรวัต เล่าให้ฟังว่า สำหรับจุดเริ่มต้นของมูลหนี้ก้อนนี้ เกิดขึ้นจากการที่ตนเข้าไปซื้อข้าวสารจากบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่ประมูลมาได้จากสต๊อกรัฐบาล และพบว่ามีปัญหาเกิดขึ้น
"เวลาที่ซื้อน้ำหนักมันไม่พอ บางที่ก็ไม่มีข้าวให้ แล้วเขาก็ไม่ได้คืนเงินให้ แล้วหนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเช่าโกดังของผม ที่ผมเอาให้อคส. (องค์การคลังสินค้า) เช่าอีกที่หนึ่ง "
นายเรวัต เชื่อว่าปัญหาเรื่องนี้ น่าจะมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เขา ยังระบุด้วยว่า จำนวนหนี้ที่บริษัทเพรซิเดนท์ เป็นอยู่กับตนเอง ในข้อเท็จจริงแล้ว มีสองก้อน เพราะนอกจาก หจก.โรงสี พ.แสงวัฒนา 3 ที่เข้าไปทำธุรกิจด้วย ยังมีหนี้ในส่วนของ หจก.แสง 3 ของตนเอง ที่ จ.สระบุรี อีกแห่งหนึ่งด้วย จำนวน 9,288,238.94 บาท ทำให้วงเงินหนี้ทั้งหมด อยู่ที่ 18.5 ล้านกว่าบาท ซึ่งที่ผ่านมา ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะทวงเงินจำนวนนี้กลับมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
" การจะเข้าไปหานายอภิชาติ ไม่ใช่ของง่ายๆ มีบอดี้การ์ด ผมเคยบุกไปหาที่บริษัท แถวรัชดา เห็นชัดๆว่ารถยนต์ส่วนตัวของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร จอดอยู่ แต่เมื่อไปติดต่อได้รับคำตอบว่า ไม่อยู่"
เมื่อถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ได้รับเงินคืน นายเรวัต ได้แสดงความประหลาดใจ พร้อมย้อนถามกลับว่า " จริงหรือ ได้รับเงินคืนด้วยหรือเหรอ"
เมื่ออธิบายกระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้ของธนาคารกรุงไทย ที่ใช้วิธีการให้บริษัท สยามอินดิก้า เข้ารับเป็นลูกหนี้แทนบริษัท เพรซิเดนท์ ให้รับทราบ
นายเรวัต กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "อ่อ...ทำแบบนี้หรือครับ"
จากนั้น นายเรวัต ขยายความให้ฟังว่า เจ้าหนี้ของบริษัท เพรซิเดนท์ ทั้งหมด มีอยู่ประมาณ 30 ราย ทั้งในและต่างประเทศ วงเงินหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ประชุม 2.57 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงตัวเจ้าหนี้อีกหลายราย ที่ยังไม่ได้มาแสดงตัวเป็นเจ้าหนี้รวมด้วย
" ในช่วงที่มีปัญหาเกิดขึ้น ตอนนั้นผมได้คุยกับธนาคารทุกธนาคารเลย เช่น ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือแม้กระทั่ง กรมสรรพากร กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งผมก็บอกไปว่า ทำไมพวกคุณไม่กระตือรือร้นในการติดตามหนี้เลย ทั้งที่ธนาคารของไทย เป็นหนี้กันคนละพันกว่าล้าน แต่มูลหนี้ของผมมีแค่ 2 หจก. 18.5 ล้านบาท ซึ่งวงเงินหนี้นี้ สำหรับเอกชนอย่างผมที่ไม่ใช่รายใหญ่ มันเป็นวงเงินที่เยอะ มันสามารถกระทบกระเทือนกับผมได้ แต่พวกคุณเป็นธนาคารใหญ่ ทำไมไม่กระตือรือร้น ตัวแทนก็บอกกับผมว่า ผมเป็นแค่พนักงาน แต่ของผมมันเป็นเงินของผมจริงๆ ซึ่งมันก็ถูกของเขา ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่แค่สงสัยว่า ปกติเจ้าหนี้ทุกคนต้องรวมมือกัน"
นายเรวัต ยังระบุด้วยว่า คดีนี้ ไม่ใช่คดีธรรมดา เป็นคดีใหญ่มีความเสียหายมูลค่ามหาศาล และคนที่ฟ้องร้องล้มละลาย ก็เป็นธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ไม่ใช่ธนาคารไทย แต่พอฟ้องคดีเสร็จ ศาลตัดสินล้มละลายแล้ว ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย กลายเป็นว่า มันกลับเป็นผลดีต่อบริษัทเพรซิเดนท์ และนายอภิชาติด้วยซ้ำ เพราะอีกไม่กี่ปีก็หลุดจากการถูกฟ้องล้มละลายแล้ว
"เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ตัวผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ตอนนี้ก็ได้แต่บอกคนอื่น ว่า ถ้าจะโกงกันก็โกงกันไปเลย เพราะแค่ 3 ปี ก็เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย" นายเรวัตย้ำ
นายเรวัต กล่าวต่อไปว่า เท่าที่ตนทราบบริษัท สยามอินดิก้าฯ ก็เป็นบริษัทในเครือเพรซิเดนท์ เป็นของนายอภิชาติ ในปี 2554 ที่ผ่านมา สามารถส่งออกข้าวได้เป็นอันดับที่ 8 ของประเทศ ทั้งที่เข้ามาทำธุรกิจข้าว ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง
"แต่เรื่องนี้ผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะพูดไปเดียวของจะเข้าตัวผมอีก เพราะมันจะกลายเป็นว่า เสียเงินไปแล้ว ยังจะต้องมีเจ็บตัวซ้ำสองอีก เพราะบริษัท เพรซิเดนท์ฯ เคยไปแจ้งข้อมูลต่อกรมสอบสวมคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในสอบสวนผมด้วย ในคดีฟอกเงินโครงการบ้านเอื้ออาทร ตอนที่มีเรื่องกันใหม่ๆ โยนเรื่องมาให้ผมเลย นอกจากเป็นหนี้ผมแล้วยังโยนคดีมาให้ผมอีก ตอนนี้ไม่รู้ว่าคดีไปถึงไหน "
นายเรวัต ยังกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับปัญหาเรื่องหนี้ บริษัทเพรซิเดนท์ ตนยังยืนยันว่า เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้
"ในส่วนของเงินของผม ผมก็ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ไปค้ายาบ้ามา เงินผมที่เอามาใช้ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเขามาเหมือนกัน และไอ้เงินที่ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมา ผมก็ต้องชดใช้เหมือนกัน จะใช้มากใช้น้อยก็ต้องทยอยใช้กันไป มันถึงจะถูก ไม่ใช่ว่าเป็นหนี้แล้ว ไม่ยอมใช้ ไม่มีไม่หนี้ ไม่จ่าย ผมว่ามันไม่ถูก"
"แต่ถ้าคนล้มลายจริงๆ ไม่เงินไม่มีอะไรใช้ โอเค ยอมรับ แต่นี่ คุณมีเงินซื้อรถให้ลูกคุณคันละ 17-18 ล้าน ให้ลูกคุณปีละสองคัน แบบนี้มันถูกหรือเปล่าละ แบบนี้มันไม่ไหว "
นายเรวัติ ยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตนได้พยายามติดต่อกับหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบคดีนี้ โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับคำตอบว่า ป.ป.ช.จะตรวจสอบคดีที่เป็นความเสียหายกับรัฐบาล ไม่ใช่คดีระหว่างเอกชนกับเอกชน
" ป.ป.ช.พูดแบบนี้ มันก็ทำให้ผมสงสัยว่าหน่วยงานราชการหลายแห่ง ก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่เป็นเจ้าหนี้อยู่จำนวน 5,800 ล้านบาทด้วย มันไม่ใช่ของรัฐบาลหรือไง ผมอยากจะถามหน่อย ทำอะไรกันอยู่ ประเทศชาติทำอะไรกันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้มันเยอะ มันซับซ้อน เอาไปสร้างหนังได้เรื่องหนึ่งเลยคุณ "
เมื่อถามว่า จะทำอะไรเกี่ยวกับหนี้สินที่บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ค้างอยู่ นายเรวัติ กล่าวว่า จะไปทำอะไรได้ ก็เขาล้มละลายไปแล้ว เขาบอกไม่มีสักอย่าง ก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน ...(หัวเราะ)
"ผมบอกได้คำเดียวว่า ผมไม่พอใจ เพราะมันเป็นเงินของผม กว่าจะหามาได้แต่ละบาทมันยากมาก"
เมื่อถามว่า แต่บริษัทสยามอินดิก้า ที่แปลงร่างมาจากบริษัท เพรซิเดนท์ ก็ยังอยู่ นายเรวัต กล่าวว่า "ถูกต้องๆๆ ตามหลักก็เป็นแบบนั้น แต่ทำอะไรไม่ได้ไง ข้อกฎหมายมันเป็นแบบนั้น "
เมื่อถามต่อว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ปัจจุบันนาย อภิชาติ จันทร์สกุลพร ยังปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ธัญรักษ์ ค้าข้าว จำกัด ซึ่งมีที่ตั้งเดียวกันกับบริษัท สยามอินดิก้า คือ 48/7-8 ซอยรัชดาภิเษก 20 ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 นายเรวัต กล่าวว่า "จะไปถือหุ้นอยู่ได้อย่างไร เพราะถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว"
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัท สยามอินดิก้าฯ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :เจาะข้อมูลลับ “สยามอินดิก้า” อุ้ม“เพรซิเดนท์ฯ”ก่อนล้มละลาย ช่วยใช้หนี้ กรุงไทย 1.05 พันล้าน http://www.isranews.org/เรื่องเด่น/71.html?start=20
ไขปม!แบงก์กรุงไทยปล่อยกู้“สยามอินดิก้า”ล้างหนี้แทน บ.เพรซิเดนท์ฯ1,000 ล. http://www.isranews.org/Investigative/71-Investigative/5930--1000-.html
