"กรรมการ กยน." เผยเกาหลีป้องน้ำท่วมสำเร็จ เหตุใช้ ‘ผังเมือง’ ชี้นำการก่อสร้าง
พัฒนาเมืองสะเปะสะปะ ไร้ผังเมืองกำกับ "กรรมการ กยน." ชี้ ต้นเหตุน้ำท่วม กทม.-อ่างทอง-หาดใหญ่ซ้ำซาก แนะผูกติดเรื่องผังเมืองเข้ากับแผนพัฒนาประเทศ ระยะยาวต้องพาเมืองหนีน้ำ พัฒนาเมืองใหม่
วันที่ 7 เมษายน สภาสถาปนิก จัดเสวนาสาธารณะ "ผังเมืองคือจำเลยน้ำท่วมจริงหรือ" ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ โดยนายรัชทิน ศยามานนท์ กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และอดีตอธิบดีกรมการผังเมือง กล่าวว่า แม้ผังเมือง ตกเป็นจำเลย 'เบอร์หนึ่ง' ของน้ำท่วมอย่าง แต่เมื่อผังเมืองคือผลของการกระทำหรือไม่กระทำ คนที่ทำให้ผังเมืองเป็นเช่นนี้ อาจต้องจัดว่าเป็นจำเลยตัวจริง
นายรัชทิน กล่าวว่า ในเรื่องของผังเมืองนั้น บ้านเรามีการจัดแผนแม่บท (master plan) อยู่แล้ว แต่จะทำได้จริงหรือเกิดเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัย สิ่งแวดล้อม รวมทั้งประเด็นทางการเมืองที่เอื้ออำนวยด้วย แต่ขณะนี้เชื่อว่าเหล็กกำลังร้อน เพราะปัญหาอุทกภัยในปีก่อน ทำให้ผู้บริหารบ้านเมืองเข้าใจแล้วว่า ผังเมืองคือตัวหลักในการแก้ปัญหาระยะยาว
"เราหลงทางกันมานาน อย่างเหตุการณ์น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งปีก่อน เป็นเพราะเราไปซื้อที่ดินการเกษตรราคาถูก ซึ่งเป็นพื้นที่ฟลัดเพลน ในรอบ 100 ปีน้ำท่วมนับครั้งไม่ถ้วนมาสร้างนิคมฯ เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ ที่มีการพัฒนาเมืองขวางทางน้ำไหล ทั้งที่เมื่อ 50 ปีก่อน 'ลิชฟิลด์' ซึ่งบริษัทด้านการผังเมืองของต่างชาติ ได้แนะนำให้กรุงเทพระวังการพัฒนาที่ไปขวางทางน้ำ แต่ปัจจุบันกรุงเทพโตเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว" นายรัชทิน กล่าว และว่า ทั้งนี้ อาจเข้าใจได้ว่าสมัยนั้นยังไม่มีผังเมือง หรือมีบางส่วน ซึ่งอาจยังไม่ชัดเจน ฉะนั้น ต่อไปจะต้องมีผังเมืองเข้ามาชี้นำ หรือกำกับให้กรุงเทพฯ หยุดการเติบโต ไม่ให้พัฒนาขวางทางน้ำเพิ่มขึ้น
สำหรับอนาคตของประเทศไทยนั้น นายรัชทิน กล่าวว่า ไม่สามารถแยกได้จากเรื่องผังเมือง ไม่เช่นนั้นการเติบโตของเมืองจะเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯเท่านั้น แนวโน้มเมืองต่างๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำอื่น เมื่อพัฒนาโดยไม่มีผังเมืองกำกับ จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นประจำทุกปี เช่น จังหวัดอ่างทอง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นต้น
"ในอนาคตต้องกำหนดให้เรื่องผังเมืองผูกติดกับการพัฒนาประเทศไทย ผังเมืองต้องทำให้เมืองดี ซึ่งไม่ใช่แค่ภูมิทัศน์สวยงาม แต่ต้องทำให้กินอยู่ดี มีเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมที่ดี เพราะที่ผ่านมาบ้านเราเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่เคยมีผังกายภาพ (physical planning) ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จึงไม่มีผังที่ชี้นำและกำกับว่าเมือง ชุมชน การสร้างมอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูงควรจะเติบโตอย่างไร"นายรัชทิน กล่าว และว่า ทั้งนี้ ตนได้พยายามผลักดันในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด และเห็นว่าการกำหนดผังกายภาพ จะต้องทำในลักษณะกฎหมาย เพื่อให้มีสภาพบังคับ โดยทำอย่างโปร่งใสผ่านรัฐสภา มีการทำประชาวิจารณ์จากประชาชน เพื่อไม่ให้ผังเป็นเพียงแค่คำแนะนำ หรือหมดยุคหมดสมัย เปลี่ยนรัฐบาลก็เก็บเข้าลิ้นชัก ไม่ถูกสานต่อ
อย่างไรก็ตาม นายรัชทิน กล่าวถึงการจัดการน้ำของประเทศเกาหลีด้วยว่า เมื่อ 20 ปีก่อนเกาหลีมีสภาพไม่ต่างจากบ้านเรา พัฒนาเมืองสะเปะสะปะ มีประชาชนตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำฮันตลอด 2 ข้างทางไม่ต่างจากสลัม แต่ทุกวันนี้ได้รับแก้ไขกลายเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์สวยงาม เนื่องจากเกาหลีใช้ระบบการผังเมือง เป็นตัวชี้นำในการก่อสร้าง ทั่วเกาหลีป้องกันอุทกภัยได้ก็เริ่มจากการวางผังเมือง การใช้ประโยชน์ที่ดินก่อน ส่วนประเทศไทยนั้น
"สิ่งที่เราทำได้ในระยะสั้นคือ เอาเมืองมาอยู่กับน้ำให้ได้ โดยอาจสร้างเขื่อนป้องกันชุมชน ควบคู่ไปกับการดูแลพื้นที่ด้านนอก ไม่เช่นนั้นจะเกิดการชุมนุมประท้วงขึ้นได้ ขณะที่ระยะยาว ต้องพาเมืองหนีน้ำ วางผังเมืองใหม่ โดยอาจต้องพัฒนาเมืองใหม่ ในพื้นที่ใกล้กับกรุงเทพและน้ำไม่ท่วม"
แนะหยุดขยายเมือง-ปรับโครงสร้างหยุ่นน้ำ
ด้าน ศ.กิตติคุณเดชา บุญค้ำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภูมิสถาปัตยกรรม) ประจำปี 2549 กล่าวว่า สมัยก่อนคนโบราณชอบเข้าไปตั้งถิ่นฐานในที่ลุ่ม เพื่อการดำรงชีวิต เพาะปลูก ผลิตอาหาร แต่เมื่อเมืองใหญ่ขึ้น อุทกภัยที่เคยเป็นคุณสำหรับชุมชนเกษตรโบราณ ได้กลายเป็นโทษสำหรับเมืองใหญ่สมัยใหม่ไปแล้ว
"ระยะเวลาเพียงแค่ 31 ปีประชากรในกรุงเทพเพิ่มจากหลักหมื่น ก้าวกระโดดเป็นหลักล้าน เพราะฉะนั้นแผนผังต่างๆ วางยากมาก และเมื่อเราไม่ใช่มดที่จะย้ายไข่ไปไหนก็ได้ การปรับตัว ปรับโครงสร้างให้มีความยืดหยุ่นต่อน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ อาทิ การสร้างบ้านลอยน้ำ การเคารพต่อธรรมชาติ เอาอย่างสัตว์ที่มีสัญชาติญาณ น้ำท่วมที่ไหนก็ไม่เข้าไปอยู่ แต่หลักการเหล่านี้ไม่ค่อยมีใครคิดกัน"
ศ.กิตติคุณเดชา กล่าวถึงการผังเมืองว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมเมือง ซึ่งตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มได้ ทำได้เพียงบรรเทาและป้องกันล่วงหน้าเท่านั้น เพราะน้ำหลากท่วมที่ราบลุ่มเป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และในอนาคตก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งนี้ กรุงเทพฯ ต้องไม่ขยายเมืองลงไปในพื้นที่ลุ่มน้ำอีก เพราะยิ่งขยายยิ่งขวางทางน้ำ
"กรุงเทพนั้นเป็นเมืองทึบน้ำ เนื่องจากการวางผังเมืองที่ผ่านมา บ้านเราใช้ธุรกิจเป็นตัวนำ วางผังตามนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมามาโดยตลอด ประกอบกับขาดนโยบายระดับชาติ ฉะนั้น งานผังเมืองที่รัฐบาลและฝ่ายค้านสามารถทำได้ทันที คือ การจัดทำแผนที่โดยละเอียด เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า พื้นที่ใดเป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ควรเข้าไปซื้อบ้านจัดสรร บังคับใช้กฎหมายสงวนพื้นที่ทางการเกษตร รวมทั้งปรับกลไกด้านผังเมืองให้ทำงานได้"
ศิลปินแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ประการสำคัญที่สุดคือ รัฐต้องจัดตั้งคณะกรรมาธิการสามัญในการตั้งถิ่นฐานและการผังเมืองขึ้น เพื่อวิเคราะห์ ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาที่ดีกว่า การพยายามหาตัวบุคคลหรือหน่วยงานที่ผิดมาลงโทษ
