สถิติใหม่ คนไทยตายบนถนนที่ 1 ของโลก แค่รณรงค์แจกพระคงไม่รอด
ไทยขยับขึ้นที่ 1 ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนถนนมากที่สุดในโลก กับนโยบายทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนเราถึงไหน รัฐมนตรียังแจกพระเพื่อสิริมงคล ชวนดูปัจจัยความเร็วต้นตออุบัติเหตุ
พูดถึงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ หรือเทศกาลสงกรานต์ทีไร ซึ่งควรเป็นเทศกาลแห่งความสุข แต่ในคู่ขนานกันนั้นเรามักนิยามว่านี่คือสัปดาห์อันตราย ข่าวทุกสำนักรายงานงานไปทางเดียวกันว่า วันนี้มีใครตายจากอุบัติเหตุไปเท่าไหร่ แน่นอนว่าถึงตอนนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าปัญหาอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนนในประเทศนั้นอยู่ขั้นวิกฤติแล้ว
เดิมเรามักเห็นกลยุทธ์ นโยบายภาครัฐมากมายออกมารณรงค์ให้มีการขับขี่ปลอดภัย อย่างปี 2560 กระทรวงคมนาคมออกมาตรการ 7-7-7 แบบยกกำลังสอง ภายใต้สโลแกน “ขับช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัด” โดยตั้งเป้าอุบัติเหตุบนถนนลดลงจากปีที่ผ่านมา 5% และผู้เสียชีวิตจากระบบขนส่งสาธารณะและอุบัติเหตุบนทางหลวงพิเศษต้องเป็นศูนย์
ข่าวที่กลายเป็นที่ฮือฮาและถูกพูดถึงกันมาก คือ การแจกเหรียญพุทธคมนาคมบพิธเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้โดยสารรถสาธารณะเดินทางปลอดภัยตลอดเส้นทาง คนในโลกโซเชียลต่างให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า นี่หรือไทยแลนด์ 4.0
แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการใช้กลยุทธ์ลักษณะแบบนี้ กับประเทศซึ่งมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุอันดับสองของโลก
ลองย้อนดูช่วงปลายปี 2559 จ.ขอนแก่นก็มีการแจกพระรอดให้กับผู้ขับขี่และนักเดินทางเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัยตลอดทั้งช่วงของการเดินทาง หรือกรณีพ่อเมืองจ.ชุมพร ได้ร่วมแจกน้ำมนต์บรรจุขวด ขนาด 350 มล. จาก 4 พระธาตุให้แก้ผู้ขับขี่
นี่คือตัวอย่างจากอีกหลายสิบกรณีที่เกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้
ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น องค์กรอย่าง สสส. ยังได้เคยจับความเป็นไทยๆ มาผสมเทคโนโลยีในชื่อโปรเจ็ค Road Safety Project ร่วมมือกับพระพยอม กัลยาโณ ทำพระพุทธรูปไว้ประทับหน้าคอนโซลรถ ที่ติดตั้งกลไก GPS ตรวจจับความเร็วไว้ภายใน พร้อมส่งเสียงเตือนเป็นเสียงพระพยอมให้คนขับลดความเร็วลง
เอาล่ะเราคงไม่มานั่งเถียงกันว่า มาตรการแบบนี้จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ดีแค่ไหน แต่สิ่งที่อยากชวนมาดูกันคือจำนวนสถิติของการเกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา
เอาที่ช่วงหยุดยาวของปีนี้กันก่อน พบว่า เพียงสองวันมีผู้เสียชีวิต 92 คน บาดเจ็บ 1,107 คน
หากย้อนดูสถานการณ์การเสียชีวิตของคนไทยจากอุบัติเหตุทางถนนช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2554-2558 ซึ่งถูกรวบรวมไว้จาก 3 ฐานข้อมูล คือใบมรณบัตร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจะพบว่า ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง
จากปี พ.ศ. 2554 ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิต 23,390 คน มาลดลงเหลือ 22,841 คน ปี พ.ศ.2555, 22,438 คน ในปี พ.ศ. 2556 , 21,429 คน ในปี พ.ศ. 2557 และ 19,479 คน ในปี พ.ศ.2558 ตามลำดับ
แม้สถิติดูเหมือนแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ในปีล่าสุด (ปี พ.ศ.2559) กลับพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตได้ก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นเป็น 22,356 คนเฉลี่ยวันละ 50-60 คนต่อวัน ส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างต่ำ 5 แสนล้านบาท
แล้วถ้าจะแก้ต้องเริ่มจากอะไร
แน่นอนว่า ปัจจัยหลักๆ ของการเกิดอุบัติเหตุในไทย ยังคงหนีไม่พ้นเป็นเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ การไม่ปฏิบัติตามกฎไม่ว่าจะเป็น ขับเร็ว ไม่สวมหมวกกันน็อค
ส่วนใหญ่เรามักชินกับการรณรงค์ว่า เมาไม่ขับ เราเองก็คงไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ว่าเมาแล้วขับคือปัจจัยหนึ่ง ชวนลองดูในการวิจัยกลับข้อมูลอีกด้านว่า การขับเร็วต่างหากที่เป็นปัจจัยอันดับหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุ ในสถิติอุบัติเหตุเนื่องจากความเร็วบนทางหลวงยังคงมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นโดยสัดส่วนอุบัติเหตุที่เกิดจากความเร็วในปี 2558 อยู่ที่ 80% สอดคล้องกับสถิติการตรวจจับความเร็วบนทางหลวงระหว่างปี 2551-2558 มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยในปี 2558 มีผู้ใช้ถนนโดนจับฐานใช้ความเร็วเกินกำหนด 809,341 รายเพิ่มจากปี 2551ที่ 161,724 รายและคาดว่าในปี 2560 ยอดอาจถึงล้านราย ประเทศไทยเป็นประเดียวในอาเซียนที่ยังกำหนดความเร็วในเขตเมืองที่ 80กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งๆ ที่ทุกประเทศปรับลดมาที่ 60 กม./ชม.หมดแล้ว
ไทยตายเป็นอันดับ1 ของโลกแซงมาลาวีแล้ว
ที่ผ่านมาเรารับรู้กันว่า ไทยมีสถิติอุบัติเหตุเป็นอับดับสองของโลกมาโดยตลอด
แต่ล่าสุดเว็บไซต์ The World Atlas ซึ่งเก็บรวบรวมจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนน ได้ออกรายงานฉบับใหม่เมื่อ วันที่ 13 พ.ย.60 ที่ผ่านมา ไทยได้แซงหน้าทุกประเทศในโลกขึ้นเป็นที่หนึ่งไปแล้วพบว่า ไทยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 36.2% ต่อจำนวนประชากร 100,000 คน ขณะที่ 25 อันดับแรกของสถิติเป็นประเทศจากแอฟริกาทั้งสิ้น มีเพียงไทยประเทศเดียวที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอิหร่านอีกหนึ่งประเทศที่มาจากเอเชีย เห็นตัวเลขน่าตกใจนี้เเล้ว เหมือนเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในการณรงค์เพื่อการลดอุบัติเหตุในประเทศไทยที่ผ่านมา
ทั้งนี้แม้ว่าหลายๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และองค์กรภาคประชาสังคม เอ็นจีโอมากมายจะพยายามหามาตรการออกมา แต่ยังพบอุปสรรคจำนวนมาก อย่างกรณีล่าสุดเรื่องการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา จากกรณีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสนอครม.จัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วจำนวน 849 เครื่องรวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาททำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงราคาและความเหมาะสมในการจัดซื้อ ที่ต่อมา พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ปภ.ไปพิจารณาและทบทวนถึงความจำเป็นในการจัดซื้อ ขณะเดียวกันความตั้งใจคือการนำมาเพื่อการบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมความเร็วให้มีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดเรื่องนี้พูดไปก็เหมือนคนไทยต้องสูญเสียโอกาสในการลดปัจจัยการเกิดอุบัติเหตุจากปัญหาเดิมๆ คือการคอร์รัปชั่น
สุดท้าย การจะลดอุบัติเหตุ ลดการตายที่เราพยายามกันมาโดยตลอดโดยเฉพาะนโยบาย ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน (Decade of Action for Road Safety) พ.ศ. 2554-2563 ที่มีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนในปี พ.ศ. 2563 คำตอบจากสถิติวันนี้คงชัดเจนแล้ว ในส่วนคำตอบของคำถามที่ว่าแจกพระแล้วจะช่วยได้หรือไม่ คิดว่าแต่ละคนคงมีในใจ