พลิกฎีกาเทียบกรณี “อนุสรณ์ อมรฉัตร”ถือหุ้นบริษัท 90% ส่อฝืน รธน.ทำ “ยิ่งลักษณ์”ปิ๋ว?
การที่ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนอกสมรสของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถือหุ้นบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด จำนวน 40 ล้านบาท (เพิ่มทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาทเป็น 45 ล้านบาทเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ) ทำให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 4,010,000 หุ้นหรือประมาณ 90% ของทุนจดทะเบียนทันทีนั้น
นอกจาก กำลังถูกตั้งคำถามว่า นายอนุสรณ์ มั่งคั่งนำเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหนแล้ว ยังเกิดคำถามว่า อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรีที่จำกัดการถือครองหุ้นบริษัทของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไว้ไม่เกิน 5% หรือไม่
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 269 ประกอบ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ.2543กำหนดให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ถือหุ้นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดไว้ไม่เกิน 5% (มาตรา 4 พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนฯ)
แต่ถ้านายกฯและรัฐมนตรีต้องการจะถือหุ้นจำนวนที่เกิน 5% ไว้ต่อไปต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
หนึ่ง แจ้งต่อประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
สอง ให้โอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นภายใน90วันนับจากแจ้งให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ
สาม ให้นายกฯและรัฐมนตรีทำหนังสือแจ้งประธาน ป.ป.ช. ภายใน 10 นับจากวันโอน
สี่ นายกฯและรัฐมนตรีจะกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือจัดการใด ๆ เกี่ยวกับหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนมิได้ ผู้ฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่ง100,000 บาทถึง1,000,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ห้า บทบัญญัติดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับกับคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมถึงผู้อื่นที่ครอบครองหรือดูแลหุ้นอยู่ด้วยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
แต่ ประเด็นสำคัญคือ เมื่อนายอนุสรณ์ อมรฉัตร เป็นสามีที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติในกฎหมายนี้กล่าวคือ นายอนุสรณ์สามารถถือหุ้นบริษัทเกิน 5% ได้โดยไม่ต้องโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินจัดการแทน
อย่างไรก็ตามนับแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชนะการเลือกตั้งจนขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงออกอย่างชัดแจงต่อสาธารณะว่า อยู่กินฉันสามีภรรยากับนายอนุสรณ์ อาทิ เป็นประธานการชุมคู่สมรสคณะรัฐมนตรี(http://media.thaigov.go.th/pageconfig/album1/index.asp?aid=6262&pageno=1),การเข้าร่วมพระราชพิธีสำคัญวันสโมสรสันนิบาต 7 ธันวาคม 2554ในฐานคู่สมรสนายกฯ , การพิมพ์นามบัตรนายกรัฐมนตรีโดยมีชื่อนายอนุสรณ์ อมรฉัตร ปรากฏอยู่ด้วย, ได้รับพระราชทานพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 พร้อม น.ส.ยิ่งลักษณ์
ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องการแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส จึงแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนของนายอนุสรณ์ อมรฉัตรด้วย ทั้งๆที่นายอนุสรณ์ มิได้เป็น “คู่สมรส”ที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ต้องแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียน แม้จะมิได้เป็น “คู่สมรสม” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ก็ก่อให้เกิดสิทธิ์ระหว่างกันในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ระหว่างการอยู่กินกันฉันสามีภรรยาเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต้องแบ่งคนละเท่าๆกัน ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา(ที่620/2543)*
ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ หุ้นบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด จำนวน 40 ล้านบาทที่นายอนุสรณ์เพิ่งเพิ่มทุนเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 (ก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์รับตำแหน่งนายกฯไม่กี่เดือน) น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเจ้าของหรือมีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ให้เงินกู้แก่บริษัทนี้เป็นเงินถึง30 ล้านบาทในอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าท้องตลาด เป็นการสนับสนุนกิจการของบริษัท รวมถึงซื้อห้องชุดในอาคารที่บริษัทนี้เป็นเจ้าของ
พฤติกรรมดังกล่าว เป็นการทำมาหาได้ร่วมกันขณะอยู่กินฉันสามีภรรยาหรือไม่
ที่สำคัญ เงินที่เพิ่มทุน 40 ล้านบาทมาจากไหน?
ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์มี “กรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งหนึ่ง”ในหุ้นที่นายอนุสรณ์เพิ่มทุนตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา เท่ากับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือหุ้นอยู่ในบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ อยู่ประมาณ 45% ซึ่งเกินกว่า 5% ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 269 และ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรีกำหนด
ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) ที่บัญญัติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อมีการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 267 มาตรา 268 หรือ มาตรา 269?
สำหรับขั้นตอนการวินิจฉัยชี้ขาดว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลงหรือไม่นั้น ส.ส.หรือ ส.ว.จำนวน 1 ใน 10 ของจำนวนที่มีอยู่ สามารถเข้าชื่อกันเพื่อยื่นให้ประธานสภาแห่งตนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย(มาตรา 182 วรรคสาม)
นี่ยังไม่นับประเด็นที่ทรัพย์สินอื่นที่นายอนุสรณ์ครอบครองอยู่ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีกรรมสิทธิ์ร่วม แต่ยังมิได้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่า มีอีกหรือไม่ มีจำนวนเท่าใด
จากนี้ไปคงต้องลุ้นว่า จะมี ส.ส.หรือ ส.ว.กลุ่มใดเข้าชื่อกันยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
*หมายเหตุ-ศาลฎีกาได้ให้หลักไว้เป็นการยืนยันหลักการเดิมจากคำพิพากษาศาลฎีกาก่อนหน้านี้ว่า เมื่อเป็นทรัพย์สินที่ร่วมกันทำมาหาได้ในระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา จึงต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันและต้องแบ่งคนละเท่า ๆ กัน แนวคิดของศาลฎีกาก็คงยึดถือหลักเจ้าของร่วมเป็นสำคัญซึ่งนับว่าเป็นธรรม (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2491)
อย่างไรก็ดีคงต้องพิจารณาด้วยว่าการที่ชายหญิงจะเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์สินนั้น ก็คงเฉพาะแต่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันเท่านั้น ถ้าต่างคนต่างทำมาหากินหรือได้มาโดยทางมรดกแม้ว่าจะอยู่กินร่วมกันตลอดมา ทรัพย์สินในส่วนนี้ย่อมมิใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันหากแต่เป็นของแต่ละฝ่ายไป (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2492 และ515/2519)
เมื่อเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน แม้จะระบุชื่อถือกรรมสิทธิ์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว ก็ถือว่าทั้งสองฝ่ายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786-787/2533) และยิ่งกว่านั้น แม้ต่างฝ่ายต่างมีคู่สมรสแต่กลับมาอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนหย่าจากคู่สมรสเดิม
ดังนี้ ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันก็ย่อมเป็นของชายหญิงดังกล่าวร่วมกัน มีสิทธิฟ้องขอแบ่งส่วนของตนได้
ข่าวประกอบ
“อนุสรณ์ อมรฉัตร”มีเงินซื้อหุ้น 40 ล้าน ไฉน!ไม่ยอมใช้หนี้“เมีย”ยิ่งลักษณ์ 30 ล้าน?
อนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนอกสมรส “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ถือหุ้นเกิน 5%?