เรื่องที่ควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย:กรณีสนช.และครม.พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่าฝืนมาตรา 144 (ตอนที่1)
ผู้เขียนได้เล็งเห็นผลแล้วว่า ถ้ามาตรา 144 เรื่องการห้ามแปรญัตติตัดทอนงบประมาณรายจ่ายตามข้อผูกพันและการห้ามใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม และบทลงโทษในกรณีฝ่าฝืนตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อใดจะมีปัญหาที่แก้ไขได้ยากและมีความรับผิดใหม่ตามมาหลายกรณี

จึงได้รีบเตือนรวมทั้งมีข้อเสนอแนะไว้นานแล้วในหลายบทความหลังจากพบว่าในเอกสารของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2560 ที่จัดทำโดยสำนักกรรมาธิการ 1 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา รวมเอกสารสำคัญ 4 เล่ม และในเอกสาร เล่มที่ 1 ที่ลงนามโดย นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2559 และรายงานการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 56/2559 ประกอบคำแถลงปิดท้ายการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2560 ของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในวันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2559 อันถือว่าอยู่ในข่ายเป็นข้อมูลในเอกสารมหาชนที่อ้างอิงเป็นพยานได้ว่าการกระทำของคณะกรรมาธิการวิสามัญและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกือบทั้งสภา รวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อเจือสมกันแล้วแสดงว่าได้มีการกระทำร่วมกันที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 ที่นำมาใช้ตามประเพณี มีมาตรา 168 ที่ห้ามตัดทอนรายจ่ายตามข้อผูกพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีมาตรา 144 บัญญัติไว้เช่นเดียวกันกับฉบับก่อนๆ นอกจากนี้ในฉบับ 2560ในมาตรา 144ยังเพิ่มความรับผิดใหม่ขึ้นมาทั้งของสมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของรัฐถ้ามีการฝ่าฝืนการใช้งบประมาณรายจ่ายจะต้องถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองไปตลอดชีวิต
จึงเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรีและสนช.รีบดำเนินการแก้ไขหรือจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณปี 2560 ว่ามีส่วนใดที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญเสียก่อนประกาศใช้บังคับในวันที่ 1 ตุลาคม 2559 และก่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีผลใช้บังคับจะได้ไม่เกิดปัญหาที่แก้ได้ยากกับท่านนายกรัฐมนตรีและครม.ของท่านตามมาภายหลัง
ที่สำคัญจะได้ไม่อ้างใช้เป็นบรรทัดฐานที่ผิดในการแปรญัตติในงบประมาณปีต่อๆไป ว่าในกรณีนี้ก็ได้เคยทำมาแล้วไม่เห็นมีปัญหาอย่างไร ? ที่บ้านเรามักจะอ้างอย่างนี้เสมอๆใช่ไหม?
แต่ทุกฝ่ายที่มีส่วนกระทำการที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและอาจจะต้องอยู่ในข่ายรับผิดในกรณีนี้ก็ไม่ไยดีที่จะดำเนินการแก้ไข แม้จะชี้แจงออกมาเป็นทางการว่าทำได้ไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามความเห็นของผู้เขียนก็ตาม เพียงแต่ซังกระตายยกร่างขึ้นมาแล้วแต่สุดท้ายไม่กล้าที่จะโต้แย้งออกมาเป็นทางการ กลับถามว่า “เรื่องนี้อาจารย์ปรีชาได้ความลับนี้มาได้อย่างไร?” ทั้งๆที่ไม่ใช่ความลับแต่ประการใดเลยเพราะข้อมูลทั้งหลายอยู่ในเอกสารของสภาทั้งหมด เรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีสอบถามข้อเท็จจริงได้จากรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงการคลังรวมทั้งอดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังเป็นสมาชิกสนช.อยู่ และอยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญที่กระทำการขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่ห้ามตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันและไม่เคยมีสภาและครม.ในยุคใดเคยกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ห้ามไว้ชัดเจนอย่างนี้มาก่อนเลย
บัดนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 และมีมาตรา 5 และ 144 ที่เกี่ยวกับกรณีโดยตรงมีผลใช้บังคับหรือแผลงฤทธิ์กับการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและโทษการฝ่าฝืนทันทีเพราะไม่มีบทเฉพาะกาลกำหนดเวลายับยั้งไว้ ในบทความตอนแรกนี้จึงขอนำบทบัญญัติมาตรา 5 และ 144 ที่มาจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับเดิมๆ แต่มีเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ ดังนี้
มาตรา 5 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือ การกระทำใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือ การกระทำนั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้
หมายเหตุ คำว่า “การกระทำ”เป็นข้อความที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ จึงเข้ากับการแปรญัตติที่ฝ่าฝืนขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้โดยตรง
มาตรา 144 ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมหรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใด อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(2) ดอกเบี้ยเงินกู้
(3) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้
ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า หนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติ ตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณา วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล
ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา(ขณะนี้หมายถึงสนช.ที่ร่วมกันลงมติ) ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี (คือคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา)เป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติและให้ผู้กระทำการดังกล่าว ต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย ....
การเรียกเงินคืนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทำได้ภายในยี่สิบปีนับแต่ วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น....”
หมายเหตุ โทษการฝ่าฝืนความรับผิดในการชดใช้เงินคืนได้เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ในรัฐธรรมนูญ 2560
นี่แหละจึงเป็นเหตุสำคัญที่ทั้งสนช.และครม.ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ยอมส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญของตนเอ็ง จึงต้องพยามเลื่อนการเลือกตั้งออกไปให้ช้าที่สุดเท่าที่จะบิดเบือนหาเหตุผลต่างๆนาๆมาอ้างดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ เพราะถ้าสมาชิกสภาชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่เมื่อใด ก็สามารถเข้าชื่อกันได้หนึ่งในสิบทันทีและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อใด เมื่อนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและรัฐมนตรีที่ร่วมมีมติ ก็หมดความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่ว่าคนนอก คนในจากพรรคใดก็ตาม เพราะมีพฤติกรรมดำเนินการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและไม่รักษาวินัยเกี่ยวกับเงินแผ่นดินอย่างชัดแจ้ง
จึงเป็นเงื่อนเวลาที่จะต้องรอคอยแต่ต้องถึงแน่ๆ ครับ
(โปรดติดตามตอนที่ 2 ที่จะชี้ให้เห็นว่า ครม.และสนช.บางท่านเข้าข่ายการฝ่าฝืนการใช้งบประมาณรายจ่ายอย่างไร?)
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก popcornfor2.com
