พลิกคำพิพากษาศาลฎีกา ตัดสินคดีล่าสัตว์ป่าจำคุก 'พ.ต.ท.'10เดือน ก่อนกรณี'เปรมชัย'
"...ในช่วงปลายเดือน ม.ค.2560 ศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้อ่านคำพิพากษาฎีกา ในคดีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หน.อช.แก่งกระจานในสมัยนั้น นำกำลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแกะรอยเข้าติดตามจับกุมกลุ่มนายพราน ที่มีนายตำรวจระดับสารวัตร ยศ พ.ต.ท.ร่วมทีมรวม 9 คน พร้อมด้วยอาวุธปืนเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ของกลางทั้งกบทูดและซากกระจง พร้อมภาพถ่ายที่กลุ่มพรานถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพวิดีโอไว้ ขณะเข้าไปล่าและพักค้างแรม โดยแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2555 โดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จำคุก พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี อดีต สว.สส.สภ.ปราณุบรี 10 เดือน ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ถูกจำคุกเช่นเดียวกัน.."

ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมจับตามอง สำหรับกรณี นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 63 ปี ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)พร้อมพวกอีก 3 คน ประกอบด้วย นายยงค์ โดดเครือ อายุ 65 ปี, นางนที เรียมแสน อายุ 43 ปี และนายธานี ทุมมาศ อายุ 56 ปี ถูกจับกุมฐานลักลอบเข้าตั้งแคมป์และล่าสัตว์ป่าในเขตป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก พร้อมของกลางซากสัตว์ป่าคุ้มครองหลายรายการ และอาวุธปืน ต่อมาได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสี่ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดี 9 ข้อหา และนำฝากขังที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ล่าสุดได้รับอนุญาตให้ประกันตัวด้วยเงินสดคนละ 150,000 บาทนั้น
ขั้นตอนจากนี้ไป นายเปรมชัย และพวก ก็คงต้องเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีในชั้นศาล ส่วนจะใช้เหตุผลและหลักฐานใด มาประกอบในการต่อสู้คดีก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป
แต่มีข้อมูลชุดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีคดีความเกี่ยวกับการลักลอบเข้าตั้งแคมป์และล่าสัตว์ป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หลายคดีที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษมาแล้ว
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลผลคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับคดีลักษณะนี้ มานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบ ณ ที่นี้
ปี 2560 ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษ พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี อดีต สว.สส.สภ.ปราณุบรี พร้อมพวก กรณีเข้าไปสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
กรณีนี้ ปรากฏเป็นข่าวดัง ในช่วงปลายเดือน ม.ค.2560 ศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้อ่านคำพิพากษาฎีกา ในคดีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หน.อช.แก่งกระจานในสมัยนั้น นำกำลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแกะรอยเข้าติดตามจับกุมกลุ่มนายพราน ที่มีนายตำรวจระดับสารวัตร ยศ พ.ต.ท.ร่วมทีมรวม 9 คน พร้อมด้วยอาวุธปืนเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ของกลางทั้งกบทูดและซากกระจง พร้อมภาพถ่ายที่กลุ่มพรานถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพวิดีโอไว้ ขณะเข้าไปล่าและพักค้างแรม โดยแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2555
โดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จำคุก พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี อดีต สว.สส.สภ.ปราณุบรี 10 เดือน ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ถูกจำคุกเช่นเดียวกัน
คดีนี้ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4817/2556 หมายเลขแดงที่ 1643/2557 พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี พร้อมพวกอีก 8 คน ในฐานความผิดพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ, พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ, พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ และพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มีการต่อสู้คดีจนถึงชั้นฎีกา ก่อนที่ศาลมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 7 คนละ 10 เดือนและปรับคนละ 250 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 6 คนละ 13 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 เดือน และปรับ 500 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 5 และ 8 คนละ 16 เดือน และปรับคนละ 250 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 19 เดือน และปรับ 250 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 9 มีกำหนด 10 เดือน และเมื่อบวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขที่ 3661/2555 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 รวม 16 เดือน ปรับ 500 บาทไม่รอการลงโทษและไม่คุมความประพฤติ พร้อมทั้งให้ ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืน มีดพกสั้น มีสปาต้า หม้อสนาม เรือหางยาวติดเครื่องยนต์ ไฟฉายแบบคาดศีรษะพร้อมแบตเตอรี่ ปลอกกระสุนปืนและกระสุนปืนของกลางที่เหลือจากการทดลองยิง (อ้างอิงข้อมูลข่าวจากhttps://www.thairath.co.th/content/848225)
ปี 2553 ศาลฎีกา พิพากษาลงโทษนายไพฑูรย์ ลิ่วเวหา ฐานกระทำความผิดฐานพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยบรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟเที่ยวติดตามแสวงหาล่าสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองทุกชนิดในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากไม่พบสัตว์ป่าดังกล่าว โดยไม่ได้ระบุว่าจำเลยลงมือล่าสัตว์ชนิดใดด้วยวิธีการอย่างไรและใช้อาวุธปืนของกลางร่วมในการกระทำความผิดอย่างไร ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด รวมทั้งไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่และสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิดจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวตามฟ้องของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 4, 16, 47, 57 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 4, 6, 16 (15), 27, 29 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 92, 371 ริบอาวุธปืนยาว ลูกซองเดี่ยว 1 กระบอก อาวุธปืนยาวบรรจุปาก (ปืนแก๊ป) 1 กระบอก มีดพก 1 เล่ม และแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟ 1 ชุด ของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 16, 47 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 16 (15), 27 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียบอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและมีดติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ และเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าสงวน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสามเป็นจำคุก 2 ปี 16 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน ริบอาวุธปืนมีดและแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 16, 47 ให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันมีอาวุธปืน ปรับ 3,000 บาท และฐานร่วมกันพาอาวุธปืน ปรับ 2,000 บาท รวมปรับ 5,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนภายในกำหนดเวลา 1 ปี กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้เพิ่มโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตมมคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง เจ้าพนักงานจับจำเลยและยึดอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวขนาด 12 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนยาวบรรจุปากประกอบขึ้นเอง ไม่ปรากฏเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 4 นัด มีดพก 1 เล่ม และแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟ 1 ชุด เป็นของกลาง โดยกล่าวหาว่าจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนที่หลบหนี ร่วมกันมีและพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และของกลางดังกล่าวซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์หรือจับสัตว์ติดตัวไปและร่วมกันพยายามติดตามแสวงหาล่าสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองทุกชนิดในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง บริเวณที่เกิดเหตุ
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์บรรยายเพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟเที่ยวติดตามแสวงหาล่าสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองทุกชนิดในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากไม่พบสัตว์ป่าดังกล่าว ฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยลงมือล่าสัตว์ชนิดใดด้วยวิธีการอย่างไรและใช้อาวุธปืนของกลางร่วมในการกระทำผิดอย่างไรซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดรวมทั้งไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่และสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิดจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวตามฟ้องของโจทก์ได้ ส่วนมีดพกและแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟ 1 ชุด ของกลาง เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า มีดพกและแบตเตอรี่พร้อมดวงไฟของกลางให้คืนเจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
ปี 2551 ศาลฎีกา พิพากษาลงโทษ นายสกุล เรืองบุญศรี กรณีพกอาวุธปืนเข้าไป ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวแล้วทำลาย ตัดต้นไม้ พร้อมร่วมกันล่าสัตว์ป่า
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2548 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนยาวประจุปาก (ปืนแก๊ป) ชนิดประกอบขึ้นเอง ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ จำนวน 2 กระบอก และกระสุนปืนยาวประจุปากจำนวน 1 ชุด ประกอบด้วย ดินปืน 1 ขวด แก๊ปปืน 1 ขวด ลูกตะกั่ว 1 ขวด ฝอยมะพร้าว 1 ห่อ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนในหมู่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ อันเป็นหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยกับพวกร่วมกันเข้าไปในบริเวณป่ายอดห้วยแหลป่าเตย หมู่ที่ 1 ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวแล้วร่วมกันทำอันตรายและทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้กฤษณา โดยร่วมกันทำลาย ตัดต้นไม้ โดยใช้มีดและขวานทำการตัดฟันต้นไม้กฤษณาออกจากต้นแล้วเก็บหาชิ้นไม้กฤษณาอันเป็นของป่าหวงห้าม และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันล่าสัตว์ป่าโดยการใช้เคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่าเพื่อให้พวกของจำเลยที่ดักซุ่มรออยู่ใช้อาวุธปืนยิงล่าสัตว์ป่าดังกล่าวซึ่งดำรงชีพอยู่ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 4, 33, 35, 36, 37, 38, 53, 54, 57, 63 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 371 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 36, 37 วรรคหนึ่ง 38 วรรคหนึ่ง, 53, 54 วรรคหนึ่ง, 57 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำลายต้นไม้หรือพฤกษชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำลายไม้กฤษณา โดยใช้มีดและขวานฟันออกจากต้นแล้วเก็บชิ้นไม้กฤษณาซึ่งเป็นของป่าหวงห้าม อีกทั้งยังได้ร่วมกันล่าสัตว์ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ โดยเจ้าพนักงานยึดได้อาวุธและเครื่องมือที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำผิดหลายรายการ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ และใด้ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำลายต้นไม้หรือพฤกษชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 6 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นแล้วคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องขาดองค์ประกอบความผิดฐานล่าสัตว์ป่าหรือเป็นเพียงความผิดฐานพยายามล่าสัตว์ป่านั้น ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพฟังได้ว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว โดยการเคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่าเพื่อให้พวกของจำเลยที่ดักซุ่มรออยู่ใช้อาวุธปืนยิงล่าสัตว์ป่าดังกล่าวซึ่งดำรงชีพอยู่ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว และตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 4 ให้คำนิยามของคำว่า "ล่า" หมายควมว่าเก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใดแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ และหมายความรวมถึงการไล่ การต้อน การเรียก หรือการล่อเพื่อการกระทำดังกล่าวด้วย ดังนั้น การเคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่าจึงอยู่ในความหมายของคำว่า "ล่า" ตามคำนิยามดังกล่าว การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิดและเป็นความผิดสำเร็จฐานล่าสัตว์ป่าตามฟ้อง มิใช่เป็นเพียงความผิดฐานพยายามล่าสัตว์ป่าดังที่จำเลยเข้าใจอีกด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนนี้ชอบแล้ว"
พิพากษายืน
ทั้งหมดนี้ คือ คำพิพากษาศาลฎีกา เกี่ยวกับคดีล่าสัตว์ป่า ที่มีการบันทึกไว้ ส่วนผลการพิจารณาโทษ หนักเบา แล้วแต่ผลแห่งการกระทำที่ก่อไว้
อ่านประกอบ :
ป่าลั่น!พลิกธุรกิจ‘เปรมชัย’ซีอีโอ แสนล.-กก.106 บริษัท-คู่ค้าใหญ่ภาครัฐ ก.ทรัพยฯด้วย
