เสียงจากทีดีอาร์ไอ"ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ " ค่าแรง 300 ช็อคเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่

การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทนำร่องใน 7 จังหวัดเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2555 ก่อนปรับขึ้นยกแผง ทุกคน ทุกจังหวัด ทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค. 2556 กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ชี้วัดว่าเศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
ในมุมมองของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ เห็นว่า การปรับขึ้นค่าแรงพรวดเดียวจากค่าเฉลี่ยเดิมถึง 79% เที่ยวนี้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นการ "ช็อค" ภาคธุรกิจทำให้ปรับตัวรับสถานการณ์ระยะสั้นไม่ทัน
ดังจะเห็นข่าวเป็นระยะๆว่าตอนนี้มีหลายโรงงาน เริ่มปรับลดคนงานเพราะสู้อัตราค่าจ้างไม่ไหว ขณะที่บางบริษัท "แช่แข็ง" การรับคนเพิ่มเอาไว้ก่อน ส่วนนักลงทุนข้ามชาติหนีไปลงทุนในจีนหรือเวียดนาม
นี่คือปรากฎการณ์หนึ่งที่ถือว่าสะเทือนต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ที่มีทั้งผลแง่บวกและลบ โดยในมุมของ ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัย (การพัฒนาแรงงาน) ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาสังคม ทีดีอาร์ไอ มองว่า ปรากฎการณ์นี้จะนำไปสู่การ "ปรับโครงสร้าง"ของเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่
การปรับค่าจ้างมีผลกับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างไร
ในระยะสั้นเกิดขึ้นแน่นอน ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ในสาขาทางเศรษฐกิจต่างๆจะมีผลทางด้านการผลิต และการมีงานทำไม่เท่ากัน ขึ้นกับธุรกิจที่ใช้คนมากหรือน้อย ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การขึ้นครั้งนี้เมื่อเทียบกับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 178-179 บาทต่อวัน เท่ากับขึ้นไปถึง 79% โดยมี 7 จังหวัดที่ขึ้นไปแล้ว 300 บาทต่อวัน ที่เหลือยังไม่ได้ปรับ ตรงนี้ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่สามารถชดเชยบางส่วนที่เราเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำช้าเกินไปในอดีต เพราะจริงๆแล้วค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นที่เคยขึ้น 1700 จุดก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง แล้วก็ลดลงเร็วมาก เหลือ 300-400จุด แล้วตอนนี้ก็กลับขึ้นได้อีก
ขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำก่อนปี 2540 ขึ้นเร็วมาก ถ้าไม่เกิดวิกฤตเสียก่อน ค่าจ้างจะขึ้นไปสูงกว่านี้แล้ว เพราะค่าจ้างขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ปัญหาอยู่ตรงที่ว่านักเศรษฐศาสตร์มองว่า หลังปี 2540 ที่เกิดการปรับฐานทางเศรษฐกิจและลดค่าจ้างขั้นต่ำลงมา แต่จริงๆคือค่าครองชีพเกือบไม่เคยลดลง ซีพีไอหรือดัชนีวัดเงินเฟ้อไม่มีติดลบ เงินเฟ้อขึ้นตลอดเวลา มันก็เลยทำให้เกิดข้อโต้แย้งว่า การปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำลงมา ก็ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่
ในปี 2553 ที่เรามีข้อมูลอยู่ พบว่า ค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นไม่ทันค่าครองชีพที่สูงขึ้นประมาณ 20% ดังนั้น การเรียกร้องขึ้นค่าจ้างในช่วงที่ผานมาก็มีเหตุมีผลกัน แต่ไม่ได้มีความหมายเดียวกับการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้นค่าแรงสูงขนาดนั้น มันคนละวัตถุประสงค์กัน หลายคนใช้คำว่าหาเสียงกับแรงงาน ตรงนี้แล้วแต่จะคิด แต่หลายคนมองว่าเป็นช่องว่างทางเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาการขึ้นค่าจ้างอยู่ที่ 5% เมื่อปีที่แล้วสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เราขึ้นไปแล้ว 10กว่าเปอร์เซนต์ ตอนหลังเค้าจะเพิ่มขึ้นอีก 25% แต่เมื่อเป็นรัฐบาลเพื่อไทยขึ้นขนาดนี้ก็คงมีเหตุผลอื่นด้วย
หลายคนบอกว่าการขึ้นค่าจ้างขนาดนี้อาจทำให้เกิดปัญหาการว่างงานด้วยซ้ำ
การขึ้นงวดแรกไปแล้ว 300 บาท ตามผลการศึกษาของแบงก์ชาติ บอกว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย อยู่ๆก็ช็อคตูมเลย ไม่มีการลดภาษีธุรกิจจาก 27 เหลือ 23% อาจทำให้การเติบโตเศรษฐกิจที่แท้จริงของสภาพัฒน์ ที่เดิมประมาณการณ์ไว้ 6.5% เป็น 4.3%
เรามองข้อดีก่อนว่า ค่าจ้างที่แท้จริงจะเพิ่มแน่ๆ 6% แต่ทำให้การมีงานทำลดลงจากฐาน 4.5% แล้วแต่ว่าการจ้างงานจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าเกลี่ยไปสู่เซคเตอร์อื่นไม่ได้ จะเกิดคนว่างงาน ทำให้ความต้องการจ้างงานหดหายไป อาจมีผลกระทบเรื่องการส่งออก 3% การนำเข้าลด 1.4% แต่ที่แน่ๆก็คือว่า คนจะนำเงินรายได้ที่สูงขึ้นไปใช้จ่ายมากขึ้น แต่จริงๆการบริโภคของรายย่อยที่เพิ่มขึ้น แทบจะหักล้างด้วยการบริโภคภาคเอกชนรายใหญ่ที่หายไปไม่ได้เลย เรียกว่าไซส์มันเทียบกันไม่ได้
ผลกระทบในระยะสั้น คนที่เคยจ้างก็จะไม่จ้าง "ฟรีซ" หมด ตำแหน่งใหม่เพิ่มเข้าไปแทนเท่าที่จำเป็น ทุกๆปีจะมีแรงงานใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 2.5% ของปริมาณแรงงาน ปัญหาคือถ้ามีคนเก่าหายไปและไม่รับคนใหม่เข้ามาจะทำอย่างไร ถ้าดูผลกระทบก็ต้องดูต้นปีหน้าอีกครั้ง เพราะตลาดแรงงานยังขาดคนงานหลายแสนคน
การจ้างงานที่มีผลกระทบมากคืออุตสาหกรรมไฟฟ้า การช็อคเศรษฐกิจแรงขนาดนี้ทำให้ผลผลิตลด 2-3% แต่การจ้างแรงงานกระทบ 12% อีกส่วนคือผลิตภัณฑ์พลาสติก ตุ๊กตา ผลผลิตจะลดลงเยอะ หรือสิ่งทอขั้นต้น โครงสร้างอุตสาหกรรมบางอย่างปรับตัวได้ ปรับกระบวนการตัวเองได้ ลดคน เอาเครื่องจักรเครื่องมือมาแทนได้ ช่วง 10 ปีนี้จะมีการปรับโครงสร้างมาก ขึ้นอยู่กับรัฐในการเกลี่ยคน บางฝ่ายบอกว่า เอสเอ็มอีกระทบมาก จริงๆเอสเอ็มอีไม่ได้ใช้คนเยอะ ปรับตัวง่าย เรียกมานั่งคุยกันได้จะเพิ่มค่างานอย่างไร การเพิ่มประสิทธิภาพจะทำได้มากกว่า ส่วนเอสเอ็มอีที่กระทบหนักคือพวกที่ใช้แรงงานเข้มข้น หรืออุตสาหกรรมใหญ่ๆที่ไม่สามารถผลักภาระให้ผู้บริโภคได้ ก็จะกระทบ
ส่วนธุรกิจก่อสร้างบอกว่าแทบจะไม่กระทบเลย ยังทำงานได้ตามปกติ เพราะมีคนงานใหม่เข้ามาตลอด ส่วนอุตสาหกรรมที่จะไม่กระทบเลยคืออุตสาหกรรมที่เราเป็นเจ้าของทรัพยากรเอง เช่นอาหาร แปรรูปสินค้าเกษตร เราปรับตัวเองได้ง่าย
ทิศทางการปรับตัวจะไปในทางใด
จากภาพที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเราในระยะกลางจะเริ่มเห็นการใช้ออโตเมชั่นมากขึ้น แต่เดิมเราใช้
แรงงานราคาถูกจากต่างประเทศมาก ทำให้ระบบการผลิตเราช้าไป 10 ปี แทนที่เราจะปรับตัวได้ก่อนหน้านั้น การช็อคครั้งนี้ก็ดี ทำให้เราต้องหันมาดูโครงสร้างต้นทุน กำไร ถ้าเพิ่มคนไม่ได้ จะทำอย่างไร คนงานจะเรียกร้องทั้งเงินเดือนและสวัสดิการ คนนึงให้อีกคนไม่ให้ ก็จะมีคู่แข่งพร้อมจ่ายแล้ว บ้านเรากลายเป็นโครงสร้างการผลิตที่ค่าจ้างสูงแล้ว จึงหนีไม่พ้นเรื่องเครื่องจักร เครื่องมือ ต้องใช้เซฟวิ่งเทคโนโลยี เหมือนประเทศอ่ื่นๆที่เคยใช้วิธีผ่องถ่ายแรงงานเข้มข้นไปสู่อุตสาหกรรมที่ใหม่กว่า อุตสาหกรรมที่อยู่ไม่ได้ ทางเลือกที่หนึ่งคือปิดไปเลย ไม่สามารถปรับปรุงตัวเองได้ คนงานในกลุ่มนี้จะไปอยู่ในเซคเตอร์อื่น เพราะบ้านเรายังต้องการแรงงานอีกมาก หากมีทักษะไปได้
สองคืออาจมีการย้ายฐานไปเพื่อนบ้านใกล้ๆ ที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่ดี เราอาจเข้าไปตั้งโรงงานแถวชายแดน ตั้งโรงงานแบบย้ายง่าย เช่น อุตสาหกรรมทอผ้า ก็ไปสร้างโรงงานแค่หลังคา2-3โรง รับคนงาน 200-300 ร้อยคน เป็นขนาดกลางๆทำได้อยู่แล้ว สามคือไปไกลเลย ย้ายฐานไปอินโดนีเซีย ฯลฯ
เราต้องปรับโครงสร้าง ปรับตัวเรื่องผลิตภาพ เป็นการรื้อโครงสร้างทั้งหมดของกระบวนการผลิต อุตสาหกรรมเกษตร บริการ ทั้งหมด ใช้ระบบออโตเมชั่น เพราะโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป กำลังแรงงานจะไม่เพิ่มจำนวนมากอีกแล้ว และจะเริ่มหดตัวลง เราต้องเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตอนนี้จึงเป็นจังหวะดีที่จะปรับตัว การหวังแรงงานราคาถูกประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะทุกประเทศเค้าก็จะมีการพัฒนาเหมือนกัน ปีหน้าหรือปีถัดไป จะเห็นคนไทยย้ายฐานไปใช้ค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศนั้นๆ ที่มันก็ยังได้เปรียบอยู่ และยังได้สิทธิประโยชน์ของประเทศนั้นอยู่ พร้อมทั้งได้แหล่งกำเนิดสินค้าด้วย
เมื่อก่อนการที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง มาบ้านเรา นักเศรษฐศาสตร์บอกว่าเหมือน "ห่าน" บินมาตั้งโรงงานในประเทศไทย โดยเฉพาะพวกโรงงานทอผ้า แต่วันนี้เราก็ต้องเป็นห่านบ้าง แต่มันอาจจะอ้วนหน่อย เพราะแต่เดิมเราไม่ค่อยจะไปไหน แต่ตอนนี้อาเซียนจะเปิดแล้วทุกอย่างมันเปิด ใครๆก็อยากได้สิทธิประโยชน์
ค่าครองชีพกับรายได้ เท่าไหร่จึงจะสมดุล
ค่าจ้างขั้นต่ำคือต้องสะท้อนว่าแรงงานต้องอยู่ได้ แต่เดิมมันอยู่ไม่ได้่ค่าเฉลี่ย 179 บาทเท่านั้น ตามข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจครัวเรือนล้านกว่าราย พบรายจ่ายเฉลี่ยใกล้ๆ 300 บาท ดังนั้น ยังห่างกับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยเดิม 60% เท่ากับว่าการปรับค่าจ้่างไม่ค่อยเป็นธรรมมาเป็นเวลานาน ข้อเรียกร้องคุณวิไลยวรรณ แซ่เตีย ผู้นำแรงงาน เดิมขอ 400 บาท ตอนนี้เป็น 500 บาท ก็ต้องมาดูว่าค่าครองชีพเท่าไหร่ แต่หลักคือค่าจ้างต้องขึ้นไม่ต่ำกว่าซีพีไอหรือเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะตั้งต้นอย่างไร ต้องขึ้นตามซีพีไอทุกปี ไม่มีการต่อรอง เป็นเงื่อนไขไม่ให้เค้าจนลง อย่างน้อยอำนาจซื้อต้องเท่าเดิม และเวลาขึ้นซีพีไอจะไม่เท่ากันทุกจังหวัด ถ้าปี 2556 รัฐบาลขึ้น 300 บาททั้งหมด แล้วไม่ปรับอีกก็แย่ ไม่เช่นนั้นซีพีไอก็จะขึ้นอีก ค่าจ้างก็จะไล่ตามซีพีไออีก
เราอยากให้เป็น "แฟร์ เรต" คือนายจ้างต้องไม่ให้ลูกจ้่างจนลงกว่าเดิม อีกส่วนคือเรื่องของกำไร มีรายได้เกินรายจ่าย บริษัทควรมีแชริ่ง อย่างบริษัทรถยนต์ที่ให้โบนัสหลายเดือน จริงๆก็คือควรเป็นซีพีไอบวกๆ เพื่อให้เค้าสามารถนำเงินไปซื้ออะไรอื่นๆได้อีกเล็กน้อย ได้ดูมหรสพบ้าง ไปพักผ่อนหรือออมเงินได้บ้าง ดังนั้น การขึ้นค่าจ้าง 300 บาท ทำให้เค้าไม่ต้องทำงานเหนื่อยมากหรือไม่ต้องทำงานโอที 3-4 ชั่วโมงต่อวัน เค้าจะนำเงินตรงนี้ไปซื้อมือถือบ้าง กินอาหารดีๆซักมื้อสองมื้อ เป็นต้น ค่าใช้จ่ายในแนวคิดใหม่ก็คือแฟร์เรต คือนายจ้างต้องลดผลกำไรลงบ้างและนำมาให้ลูกจ้างในแต่ละเดือนบ้าง แต่สิ่งที่ต้องการันตีคือฝ่ายลูกจ้างต้องคืนกำไรเหมือนกัน คืนให้ในแง่ของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
ตามผลการศึกษาของแบงก์ชาติ ชัดเจนคือเศรษฐกิจสามารถเป็นบวก 6.5-7 % ได้ ถ้าผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% จากอดีตเพิ่มได้แค่ 3% เท่านั้น ถ้าสถานประกอบการลดคนแล้วผลผลิตเพิ่มขึ้น เสริมด้วยเครื่องจักร จะทำให้เศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบ เป็นหน้าที่รัฐบาลอีก 6 เดือนข้างหน้า คือการเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งรัฐต้องให้แรงจูงใจเค้าแต่เดิมมีพรบ.การส่งเสริมฝีมือแรงงาน ให้เอาค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมคนมาเคลมภาษีได้อยู่แล้ว และผู้ประกอบการต้องช่วยตัวเองด้วยเล็กๆน้อยๆ ตอนนี้ทุกคนอยู่ในฐานที่ใกล้เคียงกันมากแล้ว
การที่ค่าจ้างข้นต่ำสูงขึ้น คนที่ไม่เคยทำงานบางอย่างก็จะทำงาน เหมือนข้าวถ้าให้ราคาสูงเกวียนละหมื่นกว่าบาท คนที่ไม่เคยทำก็จะกลับมาทำ ทัศนคติคนจะดีขึ้น ตัวผู้ประกอบการก็จะพบว่าทุกคนมีความเต็มใจมากขึ้น เมื่อก่อนเราเพิ่มการผลิตรถยนต์ได้เป็นปีละล้านคัน ก็เพราะเราให้เค้าทำงานหนัก แต่ให้ผลตอบแทนเต็มที่
ถ้าเรามองแล้วในแง่ค่าจ้างแน่นอนเราดูจากซีพีไอ สองคือแฟร์ให้คนงานเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ด้วย ในอดีตจะเพิ่มตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีว่าจะเติมให้อีกกี่เปอร์เซนต์ อีกส่วนคือการเพิ่มตามผลิตภาพ รัฐบาลต้องสร้างมาตรฐานให้ชัดเจนเป็นที่น่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ ค่าจ้างจะไม่ติดอยู่ที่ 300 บาทแล้ว ตอนนี้บางอาชีพเกินไปแล้ว ลองดูข่าวทุกวันนี้แรงงานแถวนิมิตรใหม่ เป็นย่านคนงาน เป็นลูกจ้างรายวัน ทุกเช้าจะมีรถมารับไป เป็นผู้รับเหมาช่วงเอสเอ็มอี จ่ายให้เป็นรายวัน คนพวกนี้เมื่อเค้าเห็นค่าจ้างในรูปบริษัทมีความชัดเจน ต่อไปก็ไม่อยากเป็นลูกจ้างลอยๆอยากมาเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น เค้าจะมีโอกาสพัฒนาฝีมือแรงงานผลิตภาพดีขึ้น ทางการก็สามารถหากลุ่มพวกนี้ได้ง่าย เพราะเทคนิคการก่อสร้างใหม่ๆจะมีมากขึ้น ไม่เหมือนการเป็นช่างเร่ร่อน
ความได้เปรียบและเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน
ตอนนี้ค่าแรงแถวเอเชีย อย่าง กัมพูชา 50-60 บาทต่อวัน เวียดนาม 60-70 บาท ไทยเราเดิม 178-180 บาท อินโดนีเซีย 90-100 บาท ฟิลิปินส์ 290-300 บาท มาเลเซีย 540-550 บาท สิงคโปร์ 1,830 บาท จีน 150 บาท ไต้หวัน 570-600 เกาหลีใต้ 870 บาท
จะเห็นว่าค่าแรงของไทยขึ้นใหม่แล้ว จะใกล้กับฟิลิปินส์ แต่ยังน้อยกว่ามาเลเซีย เพราะฉะนั้นไทยเองมองในแง่ของค่าจ้างเฉลี่ยใหม่ แม้จะขึ้นอีกครั้งก็ยังไม่เท่ากับฟิลิปินส์ แต่มองบรรยากาศการลงทุนในราคาที่เท่ากัน เราน่าจะอยู่ในภาวะที่ดีกว่า เพราะเรามีฐานอุตสาหกรรมดีกว่า มีโครงสร้างพื้นฐานดีกว่า เราไม่ได้เป็นเกาะไม่มีมรสุม น้ำท่วมก็นานๆหน ตอนนี้ก็ป้องกันกันดีหน่อย
เมื่อเทียบกับเวียดนามก็ยังต่างกับเราสามเท่า แต่มีจุดอ่อนเรื่องมรสุมด้วยและเริ่มอิ่มตัวแล้ว เงินเฟ้อก็สูง ส่วนกัมพูชาเค้าไม่ค่อยมีแรงงาน กำลังแรงงานน้อย โรงงานไปลงก็จ้างได้ไม่ใหญ่นักประมาณ 200-300 คน แต่ถ้าเป็นอินโดนีเซียมีกำลังแรงงาน 70 ล้านคน ทำให้อินโดนีเซียขณะนี้เป็นเบอร์หนึ่งในการลงทุนในอาเซียน อย่างบริษัท ฮอนด้าก็ตั้งฐานการผลิตอีโคคาร์ ที่เป็นรถกำไรน้อยก็ไปหาแหล่งต้นทุนถูกกว่า ดังนั้น อินโดนีเซียน่ากลัวสุด ถ้าเป็นกราฟเรียกว่าหัวยังกระดกขึ้น รองมาคือเวียดนาม ส่วนไทยเริ่มถดถอยลง เราเริ่มปรับตัว พวกอุตสาหกรรมที่เป็นพวงแบบเทียร์วัน เทียร์ทู จะอยู่ด้วยกัน เวลาเค้าไปก็ไปกันเป็นพรวน ต้องระวัง ดังนั้นเราต้องปรับประสิทธิภาพในการแข่งขันและเพิ่มพวกโลจีสติกส์ ถ้าเพ่ิมพวกนี้ได้ค่าจ้าง 300 บาทไม่ใช่ตัวแปรแล้ว ผลกระทบที่เป็นลบทั้งหลายเกือบจะไม่มี
เท่ากับว่าสถานการณ์ขณะนี้เรากำลังปรับตัวอย่างรุนแรง
เรียกว่าเป็นการปรับตัวอย่างใหญ่ มโหฬาร เราห่วงการ "ช็อคเฟสสอง" ที่จะขึ้น 300 บาททั่วประเทศในปีหน้า ผลจะแรงกว่าระยะแรก เราจึงมีข้อสเนอว่าอาจจะขอให้ขึ้นเป็นขั้นบันได ไม่ใช่ปี 2556 เป็นปี 2557 ให้เอกชนปรับตัวได้นิดหนึ่่ง แต่หลักการคือว่า ถ้าจะขึ้นอย่างนี้ 7 จังหวัดที่ขึ้นไปแล้วจะไปแช่แข็งค่าแรงเค้าไม่ได้ ต้องขึ้นตามซีพีไอด้วย สุดท้ายจะต้องได้เป็น 300กว่าบาท ไม่เช่นนั้นแรงงานจะจนลง หลักการที่สองคือปล่อยเลย ขึ้นตามซีพีไอเป็นเรื่อยๆ จังหวัดสุดท้ายคืออ่างทองที่จะมีรายได้ 300 บาทในสิบปี ส่วนในกทม.จะขึ้นเป็นเป็น 400 บาทในสิบปี ถ้าขึ้นปีละ 5% ตามซีพีไอไปเรื่อยๆ ดูในอดีตแล้วซีพีไอไม่เคยต่ำมาก 2-4% อย่างน้อย ขึ้นไปด้วยกัน ขึ้นแบบเอียงๆแต่ขึ้นไปด้วยกันทุกปี ถ้าปีไหนนายจ้างมีกำไรมาก ก็เติมได้
