ทักษิณ ย้ำ “จำนำข้าว” เป็นประโยชน์ต่อชาวนาที่สุด ให้คิดใหม่กี่ครั้งก็เลิกไม่ได้
ทักษิณ ลั่น ไม่ต้องห่วงจะส่งออกข้าวไม่ได้ รัฐสามารถค้าเองได้ ชี้ดีกว่าประกันราคาของ ป.ช.ป. ที่ทำงานตามความรู้สึก ทำให้พ่อค้าคนกลางได้ประโยชน์ ด้านนักวิชาการแย้งรบ.ทำผิด รธน.ค้าข้าว
เมื่อเร็วๆ นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ถึงนโยบายจำนำข้าวว่า นโยบายจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย คือ นโยบายที่ดีและเป็นประโยชนต่อชาวนามากที่สุด
"ต่อให้คิดใหม่กี่ครั้งนโยบายนี้ก็เลิกไม่ได้ เพราะเราต้องการให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวให้เรากินต้องอยู่ได้และควรมีรายได้ขั้นต่ำเพื่อจะได้มีคนปลูกข้าวเลี้ยงเราต่อไป" ทักษิณกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า นโยบายจำนำของเพื่อไทย ดีกว่านโยบายประกันราคาของประชาธิปัตย์ในรัฐบาลที่แล้วที่ทำงานตามความรู้สึก ไม่รู้จริงว่าทำอย่างนั้นแล้วพ่อค้าคนกลางได้ประโยชน์ และยังทำให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยแม้กระทั่งกับชาวนาที่ปลูกข้าวไว้กินเองก็ยังได้รับประโยชน์จากการประกันราคา ในขณะที่การจำนำนั้นทำให้เกษตรกรได้เงินทันที
"พวกเขาแฮปปี้มาก มีเงินไปใช้หนี้ได้ แม้ว่าจะถูกหักค่าความชื้นบ้าง และได้ใบประทวนช้างบ้างสักเล็กน้อย" ทักษิณกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า นโยบายจำนำข้าว ซึ่งถูกโจมตีว่ามีปัญหาการทุจริตหลายขั้นตอนโดยเฉพาะในด้านการทำลายระบบการค้าข้าวที่ทำให้ราคาส่งออกข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันได้กับเวียดนาม อินเดีย เพราะมีต้นทุนสูงขึ้นว่า
"ไม่ต้องห่วงปัญหาเรื่องการส่งออกข้าวจะขายข้าวไม่ได้ ผู้ส่งออกไม่อยากขายก็ไม่เป็นไร รัฐสามารถค้าเองได้ สิ้นปีที่แล้วเราขายรัฐต่อรัฐไปแล้วได้ 8 ล้านตัน มีคนมากมายที่ต้องเอาข้าวจากเรา" ทักษิณกล่าว
นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอีกนโยบายหนึ่งที่ใช้หาเสียงจนสามารถเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะดำเนินนโยบายจำนำข้าวทั้งนาปีและนาปรัง โดยข้าวนาปีในฤดูการผลิตปี 2554/2555 เริ่มตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2554 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2555 ของกระทรวงพาณิชย์ 2555
การดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 435,547 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยคาดว่าจะมีข้าวเข้าโครงการรับจำนำ 25 ล้านตัน แต่จากการสรุปผลโครงการจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/2555 ของกระทรวงพาณิชย์ โดยนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปรากฎว่า มีชาวนานำข้าวมาเข้าโครงการรับจำนำข้าวจำนวน 6,770.306 ตัน ต่ำกว่าเป้าหมาย 25 ล้านตัน โดยข้าวที่เข้าโครงการรับจำนำแบ่งเป็นข้าวเปลือกหอมมะลิ 3,065,473 ตันข้าวเปลือกเจ้า 2,905,302 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว 438,075 ตัน
ในขณะที่ นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวกับบางกอกโพสต์ว่า ตราบใดที่รัฐบาลยังยึดมั่นนโยบายจำนำข้าวเช่นนี้ก็จะไม่มีทางออกทางอื่นที่จะทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจลดน้อยลงได้แต่อย่างใด
"นโยบายนี้ทำให้รัฐบาลขาดทุนหลายเด้ง เพราะราคาข้าวสูงเกินกว่าจะสามารถแข่งขันได้ ขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ว่ารัฐบาลจะขายข้าวอย่างไร หรือจะผูกขาดการขายข้าวไว้ ทำให้ระบบการค้าข้าวเสียหายหมด" นายนิพนธ์กล่าว
ประธานทีดีอาร์ไอเห็นว่า การตั้งราคาขายข้าวไว้สูงและรัฐยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน รัฐบาลต้องใช้เงินกู้สำหรับการรับซื้อข้าวนาปีด้วยเงินจำนวน 1.12แสนล้านบาท และใช้เงินกู้สำหรับนาปรัง 3 หมื่นล้าน โดยในช่วงมีนาคมถึงเมษายนนี้รัฐบาลได้กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์จำนวน 9 หมื่นล้าน จากธนาคารออมสิน 3 หมื่นล้าน และธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นการก่อหนี้โดยไม่จำเป็น หากเป็นการค้าข้าวตามปกติรัฐไม่ต้องสร้างภาระหนี้สินเช่นนี้
"ทำไมรัฐจะต้องมาเข้าเนื้อแทนที่จะให้กลไกการค้าข้าวดำเนินไปตามปกติเราคงไม่ต้องเสียตลาดต่างประเทศไปให้เวียดนาม อินเดียและต่อไปคงต้องเสียให้กับพม่า" นายนิพนธ์ กล่าว และว่า รัฐบาลนี้กำลังทำประโยชน์ให้กับชาวนาในต่างประเทศและเจ้าของโรงสี ซึ่งได้ผลประโยชน์หลายเด้ง
"เรากำลังทำลายสิ่งที่บรรพบุรุษของเราที่ทำมา 100 ปีที่เราขายข้าวได้อันดับ 1และผลิตข้าวที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก เราจะเปลี่ยนนโยบายนี้เป็นนโยบายผูกขาดของรัฐบาลด้วยอำนาจทางการเมือง ถ้าทำอย่างนี้อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้าวสารจะแพงขึ้น เมื่อรัฐบาลไม่มีข้าวก็จะต้องขายข้าในสต็อกซึ่งราคาก็จะตก แต่ถ้าไม่ขายก็จะเกิดภาวะการขาดแคลนได้"
นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การที่รัฐบาลได้ทำลายตลาดการค้าข้าวในต่างประเทศและจะเป็นผู้ค้าข้าวเสียเองโดยค้าแบบรัฐต่อรัฐนั้น สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งกับการขัดรัฐธรรมนูญเมื่อรัฐกลายเป็นผู้ค้าเสียเองในกิจการที่เอกชนสามารถทำได้ และระบบการค้ารัฐต่อรัฐนี้คือระบบที่เอื้อกับการทุจริตและสินบนใต้โต๊ะเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการค้าแบบนี้มีเหลือน้อยเต็มที่แล้วนอกจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
"เมื่อรัฐบาลไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการค้าข้าว จะทำให้บริษัทที่ผูกขาดอยู่ 2-3 เจ้าขณะนี้ซึ่งอาศัยอำนาจทางการเมืองเอาธุรกิจการค้าไปเสี่ยงกับอำนาจทางการเมือง และเชื่อว่าผู้ส่งออกหลายรายก็จะต้องล้มบริษัทไป"
ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่รายหนึ่ง กล่าวกับบางกอกโพสต์ว่า รัฐไม่มีหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพด้านการค้าโดยทั้ง อคส หรืออตก. ต่างเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีการบริหารงานล้มเหลวมาตลอด เมื่อไม่มีแขนขาที่เชี่ยวชาญการส่งออก ออร์เดอร์รัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ก็จะตกอยู่ในมือของผู้ส่งออกข้าวบางราย ที่จ่ายเงินใต้โต๊ะให้รัฐเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการช่วยส่งออกข้าวให้รัฐ รวมทั้งข้าวในสต๊อกของรัฐเองที่จะมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าการปรับปรุงข้าวและส่งมอบข้าวซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเช่นกัน
"การที่พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า รัฐจะค้าข้าวเองและมีออร์เดอร์ปีที่แล้วมากนั้น ในข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าสามารถขายได้ 8 ล้านตัน เพราะปี 2011 รัฐส่งออกข้าวเองเพียง 260,870 ตัน จากยอดส่งออกทั้งสิ้น 10,666,120 ตัน สำหรับปีนี้ทางกระทรวงพาณิชย์มีความมั่นใจว่ารัฐจะมียอดซื้อไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านตัน จากประเทศที่มีผู้ซื้อเป็นหน่วยงานรัฐเช่นกันคืออินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แต่สองประเทศนี้เคยซื้อข้าวไทยสูงสุดประมาณ 7 แสนตันช่วงวิกฤติอาหารปี 2008"
นอกจากนี้ นโยบายจำนำโดยการให้ราคากระโดดขึ้นกว่า 40%-50% เป็น 15,000 บาทต่อตัน ทางผู้ส่งออกระบุว่าต้นทุนของข้าวจะสูงถึง 755 เหรียญต่อตัน และกว่า 1,000 เหรียญสำหรับข้าวหอมมะลิที่ประกันราคาไว้ที่ 20,000 บาทต่อตัน โดยยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ในรายงานข่าวระบุอีกว่า รัฐได้ใช้นโยบายนี้มากว่า 6 เดือนแล้ว แต่ราคาข้าวเปลือกไม่ได้ขยับขึ้น ราคาข้าวเปลือกในตลาดช่วงเดือนนี้คือ 9,900 บาทต่อตัน ความชื้น 15% ส่วนราคาเฉลี่ยสำหรับโครงการรับจำนำนาปีที่จบไปคือ 13,000-13,500 บาท ต่อตันสำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิ และ 8,700 - 9,000บาท สำหรับข้าวเปลือกเจ้า"
ประเด็นคือ ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ส่งออกรายเดียว แต่ต้องแข่งกับผู้ผลิตอีกหลายประเทศที่ผลิตและส่งออกสินค้าไปตลาดเดียวกัน และมีคุณภาพไม่ต่างกัน เวียดนามผลิตข้าวหอมแล้ว เช่นเดียวกับอินเดียที่มีข้าวข้าวชนิดดีบาสมาติ และเสนอราคาต่ำกว่า ขณะที่ข้าวขาว 5% ของไทยเสนอขายที่ 550 เหรียญในสัปดาห์นี้ เวียดนามขาย 440 เหรียญ อินเดีย 445 และปากีสถาน 470 เหรียญ
