ปรองดอง แบบ Let it be "หัวหอกแดงอีสาน" เชื่อ "ต้องใจดีสู้เสือ เข้าหามหาอำมาตย์"

การเดินหน้าตามแผนปรองดองของรัฐบาลเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตามโมเดล "โหมดปรองดอง” ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกแบบไว้ ที่พบว่าในตัวแผนการไม่ได้มีรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าต้องทำอะไรบ้าง ช่วงเวลาไหน ใช้วิธีการใด แต่ก็จะล้อไปตามแผนหลักของรัฐบาลเพื่อไทย
อาทิ การเดินหน้าออกพระราชบัญญัติปรองดอง-การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการสร้างความปรองดองแห่งชาติหรือกมธ.ปรองดองชุดพลเอกสนธิ บุญยกลิน –การตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ เป็นประธาน เพื่อศึกษาหาแนวทางการสร้างความปรองดองโดยยึดรูปแบบของคณะกรรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติหรือคอป.ของดร.คณิต ณ นคร เป็นพิมพ์เขียว –การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่หลัง 19 กันยายน 2549 เป็นต้น
ขณะที่ในบริบทการเมือง ก็จะพบว่ารัฐบาลทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พยายามเดินตามแผนโหมดปรองดองหลายวิธีการควบคู่กันไป อาทิ การพยายามสร้างสัมพันธ์อันดีกับบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีอำนาจทางการเมือง เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งล่าสุดนางสาวยิ่งลักษณ์ จะนำรัฐมนตรีบางส่วนเข้าพบพลเอกเปรมที่บ้านพักสี่เสาเทเวศน์ในวันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2555 เพื่อเข้ารดน้ำขอพรสงกรานต์ย้อนหลัง
หลังก่อนหน้านี้ นางสาวยิ่งลักษณ์และรัฐบาลได้พยายามผูกสัมพันธ์อันดีกับพลเอกเปรม ซึ่งก่อนหน้านี้ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำนปช.ที่ปัจจุบันเป็นส.ส.เพื่อไทยหลายต่อหลายคน อาทิ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์-จตุพร พรหมพันธ์ –ก่อแก้ว พิกุลทอง รวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณเองด้วยต่าง เรียกพลเอกเปรมว่าเป็น ”อำมาตย์” ที่พยายามโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณมาตลอด
หรือการที่รัฐบาลเพื่อไทยพยายามสร้างสัมพันธ์อันดีกับ ”กองทัพ” ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก ไม่ว่าจะเป็นการไม่แตะต้องหรือรื้อพรบ.กลาโหม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพื่อไทยประกาศมาตลอดว่าต้องยกเลิกพรบ.ดังกล่าว
ขณะเดียวกันคนในรัฐบาลและแกนนำนปช.ก็ไม่เอ่ยถึงบทบาทของพลเอกประยุทธ์ต่อกรณีเรื่องการเข้าไปมีส่วนสำคัญในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อช่วง 19 พ.ค. 2553 ทั้งที่พลเอกประยุทธ์มีบทบาทอย่างมากในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)
ขณะที่ในส่วนการกุมอำนาจรัฐ ก็ผิดคาดที่รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้ดำเนินการ ”เช็คบิล” ฝายตรงข้ามอย่างที่หลายคนคาดไว้ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดจากกรณีที่ยังคงให้ ”ธาริต เพ็งดิษฐ์” นั่งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป ทั้งที่ธาริตเคยถูกแกนนำนปช.ประกาศบนเวทีเสื้อแดงหลายครั้งรวมถึงการให้สัมภาษณ์ของแกนนำเพื่อไทยหลายคนเช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเวลานี้นั่งเก้าอี้เป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษแทนยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีมาตลอด โดยบุคคลเหล่านีได้ประกาศก่อนเลือกตั้งว่าถ้าเพื่อไทยชนะเลือกตั้งต้องสั่งย้าย ”ธาริต”ภายใน 24 ชั่วโมงแต่เวลานี้ผ่านไป 9 เดือนแล้วก็ยังไม่มีดำเนินการใดๆ
ขณะเดียวกัน ท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มุ่งหน้าไปที่การปรองดองก็ถูกมองว่า เป็นการทำเพื่อส่วนรวมคือเพื่อให้ประเทศก้าวข้ามปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ไปสู่สังคมไทยแบบสมานฉันฑ์เหมือนในอดีต หรือแท้ที่จริงแล้ว เป็นแผนปรองดองโดยมี ”ผลประโยชน์การเมือง” คือเป้าหมายหลัก
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อหวังให้สามารถกลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับผิดทางคดีความอีกต่อไป รวมถึงเพื่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารประเทศได้ต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่ต้องพะวงว่าในทางการเมืองจะมี ”ฝ่ายตรงข้าม” คอยจ้องเล่นงานโค่นล้มรัฐบาลเหมือนที่ตัวเองเคยโดน ดังนั้น จึงต้องพยายามสร้างความปรองดองและทำดีต่อกันกับคู่ขัดแย้งทางการเมืองเพื่อความปลอดภัยของรัฐบาลเพื่อไทย
ข้อเคลือบแคลงดังกล่าว เกิดขึ้นมาตลอด และถูกพูดถึงมากขึ้นเมื่อท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณระยะหลังรวมถึงแม้แต่กับแกนนำนปช.ที่วันนี้มีอำนาจการเมืองทั้งการเป็นรัฐมนตรี-ส.ส.ถูกมองว่าเริ่มละทิ้ง ”มวลชนคนเสื้อแดง” ของตัวเอง เพียงเพื่อหวังจะปรองดองให้กับตัวทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นหลัก
จนละเลยสิ่งที่เป็นความต้องการหรือความเดือดร้อนของประชาชนและมวลชนฝั่งตัวเอง โดยเฉพาะ ”การค้นหาความจริง” ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมทั้ง 10 เมษายน 2553 และ 19 พฤษภาคม 2553
อย่างที่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ไว้กับสื่อมวลชนระหว่างการไปกัมพูชาตอนหนึ่งว่า
“ถ้าคนส่วนใหญ่อยากเห็นปรองดอง ฝ่ายค้านก็ต้องคล้อยตามประชาชน ถ้าไม่คล้อยตามก็จะถูกโดดเดี่ยว แต่ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่แม่ของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายชุมนุมราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้มีนิรโทษกรรม ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ เชื่อว่าเรื่องปรองดองจะเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ น่าจะเกิดขึ้น เพราะรู้สึกลึกๆ แต่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เพราะนั่งทางในไม่เป็น แต่อยู่ในการเมืองมานาน มีสิ่งบอกเหตุก็พอจะเดาได้”
หรือการให้สัมภาษณ์ของ ”ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.เกษตรและสหกรณ์และแกนนำนปช.ที่เอ่ยถึงเรื่องแนวทางปรองดองว่า
“บ้านเมืองนี้จะเกิดความปรองดองกันได้โดยที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันอย่างจริงจัง ยืนยันถ้าเอาหัวใจมาวางรวมกัน คู่ขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะไม่มีใครกระทำขนาดเอาชีวิตกันและกัน แต่บางประการเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน วันนี้ อย่าหาคนผิดหรือหาพระเอก ส่วนตัวแม้จะเกิดหรือ ไม่เกิดบาดแผลจากการเมือง บาดแผลทางร่างกาย แต่ประเทศไทยได้เกิดบาดแผลไปแล้ว กรณีคนกลางในการหารือเรื่องปรองดองนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเช่นกัน แต่ประเทศชาติรอไม่ได้แล้วที่จะดำเนินการปรองดอง"
สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลได้คิดและกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน ทั้งหมดคือการทำในสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่า ”โหมดปรองดอง”
อันเชื่อว่าจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามจังหวะเคลื่อนของการเมืองได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ว่าปรับอย่างไร ก็จะไม่ให้เป้าหมายล้มเหลวแน่นอน
ก็ถึงกับที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้บอกไว้บนเวทีปราศรัยที่เมืองเสียมเรียบ ในค่ำวันที่ 14 เมษายน 2555 ระหว่างการเดินทางไปลาวและกัมพูชาเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะร้องเพลง “ผู้ใหญ่ลี” ตามหลังเพลง
”Let it be-ช่างแม่มัน” –“ใครจะขวางปรองดอง ก็ช่างแม่มัน ใครจะขวางแก้รัฐธรรมนูญ ก็ช่างแม่มัน” อันลือลั่นในแวดวงการเมือง แล้วมีจตุพร พรหมพันธ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นลูกคู่บนเวที ว่า
“ก่อนมา นายกฯยิ่งลักษณ์ บอกว่า พี่ พี่ เบาๆ หน่อยนะ ตอนนี้กำลังเข้าโหมดปรองดอง ผมก็บอกนายกฯปู ไปว่าพี่เบาได้ แต่ไม่รู้ตู่กับเต้นจะเบาได้หรือเปล่า”
คำกล่าวตอนนี้ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกกับคนเสื้อแดงที่กัมพูชาและคนไทยจำนวนมากที่เปิดทีวีเสื้อแดงชมการถ่ายทอดสดดังกล่าวจากเมืองเสียมเรียบ มันสะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งว่า
“แผนปรองดอง” ของรัฐบาลเพื่อไทย ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์-ทักษิณ มีการรับลูกส่งลูก ปรับจูนความคิด ให้คำแนะนำปรึกษาหารือกันตลอดเวลาแน่นอน
การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ พยายามผูกสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มการเมืองทุกกลุ่ม ทั้งฝ่ายที่เพื่อไทยเรียกว่า “มหาอำมาตย์” อย่างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือการทำดีกับ ”ผู้นำกองทัพ” จึงคาดเดาได้แบบไม่มีผิดพลาดว่าต้องเป็นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณเห็นชอบและให้คำเสนอแนะด้วย
ทัศนะของส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เป็นกลุ่มแกนนำเสื้อแดงระดับภาค-จังหวัด ต่อการเดินหน้าตามโหมดปรองดองของพ.ต.ท.ทักษิณ-นายกฯยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลเพื่อไทย ต่อเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
เริ่มจาก ”นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หัวหอกแดงขอนแก่น ที่รั้งตำแหน่ง ผู้ประสานงานนปช.อีสาน 20 จังหวัด ให้ทัศนะถึงเรื่องการเดินหน้าสร้างความปรองดองของรัฐบาลกับ ”ทีมสำนักข่าวอิศรา” สิ่งสำคัญที่เป็นหลักใหญ่รัฐบาลข้ามไปไม่ได้คือ ต้องค้นหาความจริงให้ได้ก่อน หากไม่ทำเรื่องนี้ก่อน ก็อาจมีปัญหา ประชาชนอาจไม่เข้าใจ โดยเฉพาะมวลชน
“นพ.เชิดชัย”ยกตัวอย่างว่า อย่างเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมหรือกฎหมายปรองดอง ให้วิเคราะห์ก็เชื่อว่าต่อให้เพื่อไทยพยายามผลักดันต่อไปอย่างไร ก็ไม่น่าจะทำได้เสร็จสำเร็จออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ในปีนี้แน่นอน เพราะเงื่อนเวลาของการออกกฎหมายกับกระบวนการค้นหาความจริงมันไปด้วยกันไม่ได้ เนื่องจากดูแล้ว กระบวนการค้นหาความจริงเช่นเรื่องคดีความ การสั่งสลายการชุมนุม กว่าจะได้ข้อยุติในชั้นศาลคงอีกนาน แล้วจะไปออกฎหมายนิรโทษกรรมไว้ก่อนได้อย่างไร
เมื่อถามว่าการเดินหน้าตามแผนปรองดอง คนเสื้อแดงอาจไม่พอใจหรือคลางแคลงใจว่าสุดท้ายรัฐบาลที่คนเสื้อแดงสนับสนุน จะมีการฮั้วหรือซูเอี๋ยกับฝ่ายตรงข้ามเพียงเพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยได้ประโยชน์จากการปรองดองหรือไม่ หลังนายกรัฐมนตรีมีการนำรองนายกรัฐมนตรีไปเข้าหาพลเอกเปรม ถึงบ้านสี่เสาเทเวศน์ “หมอเชิดชัย” กล่าวออกตัวว่าต้องอยู่ที่ข้อเท็จจริงแต่เชื่อว่ารัฐบาลไม่ทำเช่นนั้น เรื่องที่นายกรัฐมนตรีไปพบพลเอกเปรม หากถามผมก็ต้องพูดกันตรงไปตรงมาว่า ก็มีคนไม่ค่อยชอบหรอก โดยเฉพาะคนเสื้อแดง เขาอาจไม่เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นว่าเหตุใด ต้องไปพบพลเอกเปรม
“แต่ผมก็มองว่าถ้าเทียบระหว่างผลดีผลเสีย ผลดีจะได้มากกว่า คือถึงตอนนี้เรื่องปรองดองมันต้องทำ การที่นายกฯท่านไปพบประธานองคมนตรี คนก็ต้องมองว่า เอาล่ะ ลองดูกันสักหน่อย คงไม่เป็นไร เป็นการใจดีสู้เสือ จะได้รู้กันว่าจะเป็นอย่างไร
คนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี อีกคนเป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ นายกรัฐมนตรีเจอกับมหาอำมาตย์ ก็ถือว่ามีศักดิ์ศรีด้วยกันทั้งคู่ หลายคนก็อยากรู้ผลจะเป็นอย่างไร ด้วยความที่ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำหญิง เป็นคนน่ารัก อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ การเข้าหาผู้ใหญ่แบบนี้คนก็เห็นด้วยแน่นอน สนับสนุนกันเป็นส่วนใหญ่”
เมื่อถามว่าหากให้ประเมินแล้ว การเดินหน้ามุ่งไปที่การปรองดอง แต่สิ่งที่ต้องทำบางเรื่องอย่างเช่นการให้นายกรัฐมนตรีไปพบพลเอกเปรมผลจะเป็นอย่างไร คนเสื้อแดงรับได้จริงหรือ จะมีผลอะไรในระยะยาวหรือไม่ ?
"เรื่องนี้มันก็มีทั้งผลทางบวกและลบ ทางบวกคือประชาชนมีความหวัง ก็เห็นว่าเรื่องการปรองดองน่าจะเกิดขึ้นสำเร็จ
แต่อีกด้านนะครับ ก็อย่างที่บอกคือพูดกันตรงๆ ก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วย ไม่ชอบ ที่ทำไมนายกรัฐมนตรี และครม.จะต้องไปเข้าหาอำมาตย์ใหญ่
ผมว่าวันนี้ต้องมองไปที่ส่วนรวมไปที่ภาพใหญ่ก่อน วันนี้ทุกอย่างมันต้องเดินหน้าสร้างความปรองดอง แก้ปัญหาความขัดแย้งการเมือง ต้องทำเพื่อให้ทุกอย่างปรองดองกันได้ การพูดคุยกัน คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
เพราะหากมีปัญหาแล้วใช้วิธีการใช้กำลัง มันมีแต่ด้านเสีย เพราะมันก็ดีกว่าจะแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังเช่นใช้ทหาร การทำรัฐประหาร หรือใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาแก้ปัญหา ก็ไม่ใช่ ผมว่าทุกฝ่ายสนับสนุนการหันหน้าปรับความเข้าใจพูดคุยกัน”
นพ.เชิดชัย ในฐานะนักการเมืองสายนปช.ในเพื่อไทย ย้ำว่า ทุกวิธีการที่รัฐบาลเพื่อไทยจะทำ แม้จะมีบางอย่าง คนเสื้อแดงอาจไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายหากมีการอธิบายหรือให้เหตุผล คนเสื้อแดงก็จะเข้าใจได้เอง
“ผมว่ามวลชนเราสนับสนุนเราอยู่เหนียวแน่นมาก ล่าสุดผมไปเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่ขอนแก่น วันเดียวเปิดหมู่บ้าน 14 หมู่บ้านในวันเดียว แสดงให้เห็นว่าเสื้อแดงคึกคักมาก ทุกระดับ ผมว่าเขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมต้องทำ เรามาถูกทางแล้ว”
นอกจากนี้นพ.เชิดชัยบอกว่า ล่าสุดได้พูดคุยกับครอบครัวของน.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายชุมนุมราชประสงค์ 1 ใน 6 ศพผู้เสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม เมื่อ 19 พ.ค. 2553 ก็พูดคุยกัน ทางครอบครัวเขาก็เข้าใจดีว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ในการค้นหาความจริง การสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการสลายการชุมนุม รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งการค้นหาความจริงหรือจะไปซูเอี๋ยกับใคร เช่นหากพบว่าทหาร เป็นผู้กระทำผิด ทำรุนแรง ทำร้ายประชาชน ก็ต้องดำเนินการเอาผิดแน่นอน แต่ขอให้ทุกอย่างว่าไปตามกระบวนการ เพื่อให้ผลออกมาแล้วเป็นที่ยอมรับ
“ยืนยันว่าเราไม่ได้ทิ้งเรื่องการค้นหาความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เราไม่ได้รีบแต่จะปรองดองโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้สูญเสียแน่นอน
การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ดำเนินไป สิ่งที่คนเสื้อแดงอยากรู้ก็คือใครคือผู้สังหาร ทำร้ายประชาชนคือใคร ใครคือชายชุดดำ ทหารใช่หรือไม่ ถ้าเป็นทหาร ก็สอบสวนเอาตัวขึ้นศาล ให้ศาลตัดสินเพื่อมีการพิสูจน์ความจริงกันในชั้นศาล ศาลตัดสินแล้วว่าอย่างไร แล้วค่อยไปนิรโทษกรรมกันตอนนั้น รอให้ทุกอย่างเดินไปจนได้ความจริงก่อนดีกว่าแล้วค่อยไปนิรโทษกรรม”
ส่วนทัศนะในเรื่องเดียวกันจาก “ธนิก มาสีพิทักษ์” ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุเสื้อแดงในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งบทบาทการเมืองที่ผ่านมาคือแกนนำเสื้อแดงภาคอีสาน กล่าวว่าถึงเรื่องการเดินหน้าเข้าสู่โหมดปรองดองของรัฐบาลเพื่อไทย กับ ”ทีมสำนักข่าวอิศรา”ว่า วันนี้ประเทศเข้าสู่โหมดปรองดองแล้ว ทุกอย่างต้องขยับไปพร้อมๆ กัน คนเสื้อแดงก็ต้องเข้าใจสิ่งนี้ และในฐานะที่อยู่กับคนเสื้องแดง ทุกคนรู้ดีว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรในโหมดปรองดองนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า แต่สิ่งที่ทำไม่ใช่การจูบปากหรือซูเอี๋ยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่หลายคนวิเคราะห์ คนเสื้อแดงเขาเข้าใจสิ่งนี้ดี
แกนนำเสื้อแดงอีสาน ยกตัวอย่างว่า เรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะนำรองนายกรัฐมนตรีเข้าพบพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อาจมีคนเสื้อแดงบางส่วนไม่เข้าใจ แต่ก็คงไม่มาก เพราะคนเสื้อแดงก็เข้าใจรัฐบาลดีว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่โหมดปรองดอง และเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ต้องมีนโยบายในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับบ้านเมือง
“ผมเชื่อว่าเราชี้แจงทำความเข้าใจกับคนเสื้อแดงได้ เพราะโหมดปรองดอง ต้องทำหลายอย่างควบคู่กันไป อย่าไปคิดว่าเรายอมจำนนแล้ว รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญคือทำให้นโยบายที่แถลงไว้สำเร็จ ต้องเอาตรงนี้เป็นหลักใหญ่ก่อน”
เมื่อถามว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่มองว่าเพื่อไทยพอเป็นรัฐบาล หลายเรื่องเกี่ยวกับคนเสื้อแดงก็ไม่ได้คืบหน้า เช่นการค้นหาความจริงในเหตุการณ์รุนแรงกับคนเสื้อแดง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ สายนปช.อีสาน แจงว่า ไม่จริง รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ได้เพิกเฉยหรือละเลยการสอบสวนหาคนผิดในการสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ทุกอย่างก็ทำกันอยู่ ตามกระบวนการทางคดี
"วันนี้ทุกฝ่ายต้องเข้าใจ ถ้าไม่ยอมทำอะไร ปล่อยให้ปัญหาเป็นแบบนี้ จะยื้อกันไว้แบบนี้ก็คงไม่ดี ผมว่าแกนนำเสื้อแดง ผู้นำต่างๆ เขาก็ต้องช่วยรัฐบาลทำความเข้าใจกับคนเสื้อแดง
กรณีเข้าพบพลเอกเปรม อยากให้มองว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองแล้วเปิดบ้านให้ไปรดน้ำอวยพร ทางนายกฯนำคณะไปก็เป็นเรื่องของการทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้น้อยไปพบผู้ใหญ่ ความไม่เข้าใจกันบางอย่าง ก็ต้องชี้แจงคุยกัน ใช้เวลาคุยกับคนเสื้อแดง ผมว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลประกาศไว้ก่อนจะมาเป็นรัฐบาล เช่น การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม การทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเสื้อแดงเรียกร้อง รัฐบาลเขาไม่ได้ละเลย”นายธนิกระบุ
นั้นคือ ทัศนะของสองส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อไทย ที่เป็นแกนนำนปช.-คนเสื้อแดง สายนักคิดและนักเคลื่อนไหวการเมืองในภาคอีสาน ต่อมุมมองเรื่องโหมดปรองดองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แม้จะพยายามออกตัวว่ารัฐบาลไม่ได้เกี้ยเซี๊ยะกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนละเลยในสิ่งที่เป็นความต้องการของคนเสื้อแดงคือการค้นหาความจริงในเรื่องความสูญเสียของคนเสื้อแดง
แต่จะพบว่าการออกตัวดังกล่าวของส.ส.นปช.เพื่อไทย ก็เตือนรัฐบาลไว้ด้วยเช่นกันว่า อย่าได้ละเลยมวลชนเสื้อแดงของตัวเองเด็ดขาด เหมือนกับต้องการบอกว่าสุดท้ายปรองดองเป็นเรื่องดี แต่หากละทิ้งมวลชน สุดท้ายจะโดนคนเสื้อแดงสั่งสอนบทเรียนการเมืองในอนาคต
