สื่อลงภาพ-ข่าวเด็ก เข้าข่ายละเมิดสิทธิ ฟ้องได้ ‘ยกขบวน’
เวทีอมรม “รายงานข่าวสิทธิเด็ก” ถกเครียดจรรยาบรรณนำเสนอภาพข่าว ผู้รู้ด้านกฎหมาย ระบุ นักข่าวควรรู้สิทธิตัวเอง-กฎหมายเอาผิดยกขบวน
เมื่อวันที่ 20-22 เมษายนที่ผ่านมา สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สนับสนุนโดยยูนิเซฟ ประเทศไทย จัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การรายงานข่าวด้านสิทธิเด็ก” เพื่อส่งเสริมการรายงานข่าวของสื่อมวลชนให้ตระหนักถึงจริยธรรมวิชาชีพและความรับผิดชอบต่อสิทธิเด็ก ณ โรงแรมโลมา รีสอร์ท แอนด์สปา เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 20 คน ประกอบด้วยอาจารย์และสื่อมวลชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สื่อข่าวสายอาชญากรรม ที่ทำงานคลุกคลีกับการรายงานข่าวเด็ก เช่น กรณียกฟ้องตีกัน เร่รอนขอทาน ค้ามนุษย์ เป็นต้น
ในการอบรมสัมมนาได้มีวิทยากรชาวต่างชาติให้ความรู้เกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก การรายงานข่าวสิทธิเด็ก วิธีการสัมภาษณ์ รวมถึงจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าว แต่ประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากคือเรื่องจรรยาบรรณในการนำเสนอภาพข่าว การใส่ไอ้โม่งอำพรางใบหน้าของเด็ก หรือคาดแทบดำปิดบังบางจุด เช่น ดวงตาในภาพข่าว มีความเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ที่จะปกปิดตัวตนของเด็กคนดังกล่าวจากผู้ที่เคยพบปะหรือแวดล้อม
ขณะที่เด็กชายรายหนึ่งจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก เปิดเผยถึงผลกระทบภายหลังตกเป็นข่าวตามหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์ว่า ภาพข่าวที่สื่อนำเสนอออกไปนั้น แม้ภาพจะไม่เห็นใบหน้าตรงๆ แต่เค้ารางหรือลักษณะต่างๆ ก็สามารถทำให้คนรู้จักหรือเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน คาดเดาได้ว่า บุคคลในภาพคือใคร ซึ่งผลที่ได้รับตามมาคือ ปฏิสัมพันธ์ของคนในชุมชนที่เคยติดต่อคบค้าเปลี่ยนไป บางรายถึงขั้นห้ามปรามไม่ให้ลูกหลานเข้ามาสุงสิงกับครอบครัวของตน สิ่งเหล่านี้ยอมรับว่ากระทบกระเทือนต่อจิตใจของพ่อแม่ คนในครอบครัวอย่างมาก
ขณะที่เสียงสะท้อนจากผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่ มีความเห็นต่อการนำเสนอข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า การรายงานข่าวเด็กนั้น ที่ผ่านมาก็พยายามใช้มุมกล้องเข้าช่วย ถ่ายภาพเด็กเฉพาะที่ปิดบังใบหน้าเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่าผู้สื่อข่าวมีหน้าที่แค่เพียงส่งเนื้อหาและภาพมากที่สุดเข้าไปยังสำนักข่าว ส่วนการตัดสินใจ การเลือกรูปภาพเพื่อตีพิมพ์หรือออกอากาศนั้นขึ้นอยู่กับบรรณาธิการข่าว
พร้อมกันนี้ การจะให้ผู้สื่อข่าวเลี่ยงถ่ายภาพเด็ก เพื่อไม่ให้เห็นรูปร่าง หน้าตา ท่าทางของเด็ก เช่น ภาพแถลงข่าวจับกุมคดีต่างๆ แล้ว จากสถานการณ์จริง เชื่อว่าทำไม่ได้ เพราะเมื่อได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าวแล้ว สิ่งที่ต้องเก็บมาให้ได้มากที่สุดคือข้อมูล ภาพข่าว ส่วนที่จะให้ไปโต้แย้งหรือท้วงติงเรื่องความสุ่มเสี่ยงในการละเมิดสิทธิเด็กนั้น คงเป็นไปไม่ได้ และหลายครั้งเคยถูกย้อนถามเช่นกันว่า ถ้าสื่อฉบับอื่น สำนักอื่นเล่นข่าวนี้แล้วเราตกข่าว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ฉะนั้นความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงเห็นควรให้น้ำหนักกับบรรณาธิการข่าวมากกว่าตัวผู้สื่อข่าวที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นดังกล่าว วิทยากรรายหนึ่งซึ่งมีความสนใจเกี่ยวกับกฎหมายและรายงานข่าวสิทธิเด็ก กล่าวว่า ประเทศไทยมีบทบัญญัติทางกฎหมายในการปกป้อง การละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชน ไม่ให้มีการนำไปเผยแพร่ในสื่อมวลชน อาทิ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2535 พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 เป็นต้น
“ขณะที่การเอาผิดแก่ผู้ที่เสนอภาพข่าวที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิเด็กในปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ตัวบรรณาธิการหรือผู้บริหารเท่านั้น สามารถฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องได้ในทุกขั้นตอนแบบ ‘ยกขบวน’ ซึ่งหมายรวมถึงผู้สื่อข่าวด้วย ฉะนั้น นักข่าวต้องเข้าใจสิทธิของตนเองในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันควรใช้เป็นเหตุผล เพื่อชี้แจงต่อบรรณาธิการให้ทราบถึงข้อจำกัดในการนำเสนอข่าว เมื่อเห็นว่าบางกรณีเป็นเรื่องที่อาจหมิ่นเหม่ ไม่ควรนำเสนอ ส่วนบรรณาธิการจะต่อว่า หรือพยายามกดดันด้วยวิธีการอย่างใดนั้น ส่วนตัวเห็นว่า ถ้าผู้ที่เป็นบรรณาธิการข่าวไม่พยายามเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นหัวหน้าข่าว”
