6 ตำบล อำเภอแว้ง นราธิวาส ฟื้นนาร้างแก้วิกฤติยางราคาตก
พลิกวิกฤติสร้างโอกาส 6 ตำบลอำเภอแว้ง นราธิวาส ประกาศปฏิญญาร่วมกันฟื้นนาร้างสร้างอาหารเพิ่มรายได้ช่วงราคายางพาราตกต่ำ ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศพลิกผืนนาเป็นแหล่งอาหารเต็มพื้นที่ทั้งจังหวัด
แม้ที่ชุมชนบ้านละหา จะเริ่มก่อตั้งโรงเรียนชาวนา และฟื้นนาร้างมาตั้งแต่ ปี 2549 แต่ที่ผ่านมาการชักชวนชาวชุมชนให้หันกลับมาทำนาอีกครั้งหลังจากที่ทิ้งไปนานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ราคายางกิโลกรัมละ 80-90 บาท
ครั้งนี้จึงถือเป็นวิกฤติที่สร้างโอกาส เมื่อราคายางตกต่ำเหลือเพียง 5 กิโลฯ 100 บาท ทำให้ชาวชุมชนเริ่มหันมาให้ความสนใจการฟื้นนาร้างที่ทิ้งมานานกว่า 20 ปี เพื่อสร้างแหล่งอาหาร ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนลงไปได้
มูฮำหมัด บิง ผู้อำนวยการโรงเรียนชาวนาบ้านละหา ต.แว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส บอกว่า เมื่อปี 2548 ดือเลาะ สะอะ ผุ้อาวุโสในหมู่บ้านมีความกังวล หลังจากที่เห็นพื้นที่นาลดลงอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านทิ้งนาทำสวนยาง และในปี 2547 มีปัญหาเรื่องความมั่นคงในพื้นที่ ทำให้เป็นห่วงว่า ลูกหลานจะขาดแคลนอาหารเหมือนในอดีตที่รัฐบาลเคยจำกัดการซื้อขายข้าวในพื้นที่ให้ครอบครัวละ 5 กิโล เพราะเกรงกลัวปัญหาคอมมิวนิสต์
“ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน พูดคุยกันหลายครั้ง ทั้งหลังการละหมาด วงน้ำชาถึงปัญหาพื้นที่นาร้าง และเตือนชาวชุมชนเสมอๆว่า “ยางคือลูกเลี้ยง ข้าวคือลูกแท้ “ จนในที่สุดเห็นว่า ควรจะต้องฟื้นนาร้างกลับมา จึงเริ่มชักชวนชาวนาในหมู่บ้านประมาณ 7-8 คนฟื้นนาร้างที่มีอยู่เกือบ 200 ไร่”
การเริ่มต้นทำนาครั้งแรกจึงเกิดขึ้นในปี 2549 ซึ่งครั้งนั้นก็ถือเป็นความร่วมมือระหว่างชาวชุมชนและภาครัฐคือเกษตรอำเภอ หน่วยงานเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 35 และสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. ให้มาทำโรงเรียนชาวนา สร้างโรงสีข้าวและอุปกรณ์ในการทำนา
ถึงจะเป็นเรื่องยากในการชักชวน ชาวนาที่ปล่อยนาร้างทิ้งให้กลับมาฟื้นฟูนาใหม่ แต่โรงเรียนชาวนาก็สามารถสร้างการเรียนรู้ จนเพิ่มสมาชิกชาวนาจากเดิม 7-8 ครัวเรือนมาเป็น 13 ครัวเรือนในหนึ่งปี
และในปัจจุบันมีสมาชิกชาวนาเพิ่มมากขึ้น 35 ครอบครัว
“การสร้างอาหารในชุมชนถือเป็นความมั่นคงที่ยั่งยืน วันนี้ราคายางพาราตกต่ำให้ชาวชุมชนหันมาสนใจที่จะฟื้นนาร้างมากขึ้น”
มูฮำหมัด บอกว่า จากเดิมที่ฟื้นนาร้างแค่ชุมชนละหาน ตอนนี้ขยายร่วมกัน 6 ตำบล ประกอบด้วย ต.โล๊ะจูด อ.แว้ง ต.เอราวัณ ต.ฆอเลาะ ต.แม่ดง ต.กายูคละ เป็นเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่อำเภอแว้ง ตั้งมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่ความมั่นคงทางอาหาร โดยจะร่วมกันฟื้นนาร้าง 200 ไร่ร่วมกัน
นอกจากนี้ เพื่อสร้างอาหารปลอดภัย หลังจากตรวจพบชาวชุมชนมีสารเคมีในเลือดตกค้างจำนวนมาก จึงได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันในการทำเกษตรอินทรีย์ไม่ใช้สารเคมี ทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ร่วมกัน
“ การกลับมาฟื้นนาร้าง ไม่ใช่แค่การปลูกข้าวจะได้แค่ข้าว มันได้มากกว่านั้น หลังจากเราฟื้นนาร้าง เราได้เพื่อน ได้สุขภาพที่ดีกลับมา ได้วิถีดั้งเดิมเพราะในนามีปลาให้จับมากินเป็นอาหารเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นการทำนาที่ได้มากกว่าข้าว” มูฮำหมัด บอก
ทั้งนี้ ความร่วมมือของชาวชุมชนทั้ง 6 ตำบลในอำเภอแว้งไม่ใช่เพียงแค่ชุมนเท่านั้นที่ร่วมมือเดินหน้าฟื้นนาร้าง แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
"จุฑามณี หามะ" นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแว้ง กล่าวว่า การปฏิญญาร่วมกันในการฟื้นนาร้างของชาวชุมชน 6 ตำบล ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีเพราะชุมชนหันกลับมาสร้างแหล่งอาหารของตัวเอง จากเดิมที่เคยเป็นวิถีเก่าๆ ซึ่งในอดีตเคยมีทุ่งนากว้างขวางตอนนี้กลายเป็นสวนยาง ชาวนาส่วนใหญ่ก็ซื้อข้าวกิน การกลับมาทำนาใหม่โดยเฉพาะการทำนาอินทรีย์จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของชาวชุมชนลงมา ในภาวะที่ราคายางไม่ได้สูงเหมือนเดิม เป็นการพึ่งพอ่ตัวเองแบบพอเพียงแบบหนึ่ง
ขณะที่ในระดับจังหวัด "สุรพล พร้อมมูล" ผู้ว่าราชการจังหวัด นราธิวาส ซึ่งมาร่วมเกี่ยวข้าวลงแขกกับชาวนา ก็บอกช่นกันว่าจะสนับสนุนและกำหนดให้เป็นนโยบายของจังหวัดในการฟื้นนาร้าง โดยขยายไปในเขตอำเภออื่นๆเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเป้าหมายในเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ เพราะว่า การหันกลับมาทำนาจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจของชุมชน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคายางตกต่ำเช่นนี้
สำหรับปฏิญญา เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่อำเภอแว้ง ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่ความมั่นคงทางอาหาร ประกาศ ร่วมกันมีเนื้อหาดังนี้คือ จะขอน้อมนำศาสตร์พระราชาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” “ระเบิดจากข้างใน” และ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มากำหนดทิศทางการพัฒนา มาพัฒนาวิธีการและขั้นตอน มาออกแบบกระบวนการ สู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ให้เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ 4 ประการ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง ร่วมกันทบทวนปฏิบัติการตนเอง จนเป็นวิถีชุมชนเพื่อบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในเป้าหมายที่ 2 เรื่องขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนอันสอดคล้องกับทิศทางของประเทศไทยและสอดคล้องกับเป้าหมายที่สังคมโลกได้ตกลงกันไว้
ประการที่สอง การอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวท้องถิ่น โดยในปัจจุบันได้อนุรักษ์และดำเนินการส่งเสริมการเพาะปลูกพันธุกรรมข้าวท้องถิ่น 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ซือรีบูกันตัง และพันธุ์มะจานู และจะดำเนินการรวบรวมและอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวท้องถิ่นเพิ่มเติม อันส่งผลให้เกษตรกรมีความรัก ความหวงแหนในบ้านเกิด มีธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชที่มีการจัดการที่ดี
ประการที่สาม ขับเคลื่อนให้เกิดการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยในปัจจุบันมีครัวเรือนเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน 60 ครัวเรือน จำนวนกว่า 200 ไร่
ประการสุดท้าย จะแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการค้นหาและกระตุ้นให้เกิด “โรงเรียนชาวนา” ในตำบลและอำเภอในจังหวัดนราธิวาส เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสานเครือข่ายและให้เกษตรกรที่สนใจได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ที่นำไปสู่การทำนาได้จริง และทำนาได้มากกว่าข้าว