วิเคราะห์ “เศรษฐกิจปี 2012” ขยายตัว 5.6-5.8% เร็วกว่าคาด
เศรษฐกิจไทยปี 2012 จะเติบโต 5.6-5.8% เป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐ แต่เงินเฟ้อยังคง 3.5-4% จากราคาพลังงานโลกที่เพิ่มขึ้น และนโยบายค่าแรง 300 บาท
ประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2012 จะเป็น 5.6-5.8% อันเป็นผลมาจากปัจจัยบวกในประเทศเป็นหลักคือ 1) ภาคอุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวกลับมาผลิตได้ใกล้เคียงกับศักยภาพในไตรมาส 2 ซึ่งเร็วกว่าที่ประเมินไว้เดิมที่ไตรมาส 3 และ 2) รัฐบาลจะมีเงินใช้จ่ายลงทุนจากพระราชกำหนดกู้เงิน 350,000 ล้านบาท ซึ่งผ่านกระบวนการทางกฎหมายเร็วกว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังไม่ลดลงจากระดับ 3.5-4% เนื่องจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดระหว่างชาติตะวันตกกับอิหร่าน และค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งน่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ที่ 3% ถึงสิ้นปี 2012 ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนจะคงความผันผวนจากปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปที่ยังไม่จบในเร็ววัน ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานในประเทศที่ดีขึ้น น่าจะ
ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในปลายปี 2012
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าช่วงต้นปี แต่จะยังคงขยายตัวได้ในระดับต่ำ ความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจผ่อนคลายลงเล็กน้อยจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2012 เป็น 3.5% สอดคล้องกับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหลัก ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมเล็กน้อย อย่างไรก็ดีมีเพียงสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่จะขยายตัวได้ดีกว่าปีที่แล้ว การหดตัวของเศรษฐกิจยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจีน จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นยกเว้นภาคอสังหาริมทรัพย์
การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำให้อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 8.2% ในเดือนมีนาคมของปีนี้ จากที่เคยสูงถึงประมาณ 10% ในปี 2010 ทั้งนี้สิ่งที่ทำให้เห็นภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นคือการที่อัตราการว่างงานลดลงในขณะที่จำนวนของกำลังแรงงาน (Labor force) มีเพิ่มขึ้น ซึ่งต่างจากช่วงก่อนหน้าที่การลดลงของอัตราการว่างงานส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ว่างงานเป็นเวลานานบางส่วนหายไปจากกำลังแรงงาน การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เห็นได้จากยอดการค้าปลีกที่ขยายตัวต่อเนื่องและยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลที่เติบโตในอัตราที่ เร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เนื่องจากการบริโภคคิดเป็น 70% ของ GDP สหรัฐฯ
การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญของการฟื้นตัวเศรษฐกิจภาพรวม ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯส่งสัญญาณจะยังไม่นำมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือ Quantitative Easing (QE) มาใช้อีกในช่วงนี้ อย่างไรก็ดีปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเป็นราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงต่อเนื่อง ดัชนีราคา S&P/Case-Shiller Home Price Index2 ของเดือนมกราคมลดลงอีกราว 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้ระดับราคาปัจจุบันเทียบเท่ากับระดับราคาปี 2003 เท่านั้น
มาตรการช่วยเหลือด้านการคลังและสภาพคล่องในยูโรโซน เพียงช่วยคลายความกังวลชั่วคราว
การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะของกรีซนับเป็นมาตรการช่วยเหลือทางการคลังที่สำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงลดลงเนื่องจากเป็นปัจจัยที่ทำให้กรีซไม่ผิดชำระหนี้และเลือกที่จะยังเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไป นอกจากนี้ การอัดฉีดสภาพคล่องระยะยาว (Longer Term Refinancing Operation: LTRO) ราว 1 ล้านล้านยูโรของธนาคารกลางยุโรป ทำให้ภาคการเงินมีเสถียรภาพมากขึ้น ต่างจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาที่ระบบธนาคารมีปัญหาสภาพคล่อง มาตรการช่วยเหลือเหล่านี้ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลตอบแทนหรือ yields ของพันธบัตรรัฐบาลของประเทศใหญ่ๆ เช่น อิตาลี และ สเปน ปรับลดลง3 เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศเหล่านั้นนำสภาพคล่องส่วนเกินมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
อย่างไรก็ดี ธนาคารไม่ได้ใช้สภาพคล่องจาก LTRO มาเพิ่มสินเชื่อสำหรับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจซึ่ งหมายความว่าภาคเศรษฐกิจจริงอาจไม่ได้รับประโยชน์มากนัก นอกจากนี้ LTRO ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างจากการที่รัฐบาลมีฐานะการคลังที่อ่อนแอ เช่น สเปนที่มีภาวะการขาดดุลการคลังถึงราว 8.5% ของ GDP ดังนั้น yields จึงเริ่มขยับขึ้นอีกครั้งเมื่อมาตรการสภาพคล่องสิ้นสุดลง สิ่งที่ต้องจับตามองอีกอย่างคือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระบบสถาบันการเงิน จากการที่ธนาคารพาณิชย์ถือครองพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น
เศรษฐกิจยุโรปอาจถดถอยนาน เพราะขาดแรงกระตุ้น
ถึงแม้ว่าการลดการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นหนทางหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงทางการคลัง แต่การที่ภาครัฐของยุโรปลดการใช้จ่ายลงมากในขณะที่เศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ขาดอุปสงค์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอาจทำให้ภาคเอกชนอ่อนแอจนรัฐบาลเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย และไม่สามารถลดภาระหนี้สาธารณะลงได้ EIC มองว่าการที่สเปนต้องตกลงลดการขาดดุลการคลังให้เหลือ 3% ของ GDP ในปี 2013 หรือลดลง 5.5% ของ GDP ภายในสองปี และอิตาลีที่ต้องลดลง 3.9% ของ GDP ในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงขึ้นหรือไม่
หากเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาในระบบการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมาตรการทางการคลัง เช่น การออก American Recovery and Reinvestment Act of 2009 เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐซึ่งช่วยพยุงไม่ให้การจ้างงานและการใช้จ่ายภาคเอกชนลดลงอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ก่อนที่จะมีการลดการขาดดุลหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดังนั้น ความอ่อนแอของอุปสงค์จึงเป็นปัญหาในระยะยาวของยุโรปที่ต้องติดตาม
ทางการจีนแสดงเจตนาให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเศรษฐกิจมากขึ้น
เห็นได้จากการมีมาตรการควบคุมการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์จนทำให้ราคาบ้านที่เคยเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 หรือแม้แต่การปรับเป้าหมายการเติบโตของ GDP มาอยู่ที่ 7.5% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 8% ที่เป็นเป้าหมายมาตั้งแต่ปี 2005 อย่างไรก็ดี ตัวเลข 7.5% ยังคงเป็นเพียงขอบล่างของเป้าหมายเนื่องจากเศรษฐกิจจีนเติบโตดีกว่าเป้าหมายมาโดยตลอด นอกจากนี้ทางการจีนเริ่มให้ความสำคัญต่อการบริโภคในประเทศ
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกในช่วงที่เศรษฐกิจโลกหลายแห่งกำลังชะลอตัว โดยการออกนโยบายกระตุ้นการบริโภค เช่น ประกาศให้เมษายนเป็นเดือนแห่งการบริโภค และสนับสนุนตลาดที่อยู่อาศัยที่แท้จริงสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกและผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันการที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาของจีนจะทำข้อตกลงกับธนาคารเพื่อการพัฒนาของประเทศในกลุ่ม BRICS4 เพื่อเพิ่มการค้าขายระหว่างกันและให้เงินหยวนมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการค้า รวมถึงการขยายกรอบซื้อขาย(trading band) เงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยธนาคารกลางจีนขึ้นจาก 0.5% เป็น 1% สร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้น่าจะมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้เกิน 8% ตามที่หลายสำนักวิจัยต่างประเทศคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ดี อาจต้องจับตาแนวโน้มราคาบ้านว่าจะลดลงต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นอาจกระทบต่อกำลังซื้อและการบริโภค ซึ่งจะส่งผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนได้
สำหรับเศรษฐกิจไทย ภาคอุตสาหกรรมของไทยฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดไว้เดิม
อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมในช่วงสองเดือนแรกของปีกลับมายืนอยู่ที่ระดับเกิน 60% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI เดือนกุมภาพันธ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจนเกือบเทียบเท่ากับระดับการผลิตเดือนกันยายนปีที่แล้วก่อนเกิดวิกฤติน้ำท่วม สะท้อนให้เห็นถึงการเร่งผลิตสินค้าเพื่อทดแทนช่วงที่ต้องหยุดการผลิตและความมั่นใจของผู้ประกอบการที่ต้องการกลับมาลงทุน EIC คาดว่ายังมีความต้องการสินค้าอีกจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้จากปริมาณสินค้าคงคลังที่ยังต่ำกว่าระดับปกติอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมน่าจะขยายตัวได้ดีต่อไปและสามารถผลิตสินค้าได้ใกล้เคียงกับระดับศักยภาพได้ในไตรมาส 2 ซึ่งเร็วกว่าที่ประเมินไว้เดิมที่ไตรมาส 3 EIC ประมาณการไว้ว่าผลผลิตมวลรวมจากภาคอุตสาหกรรม (GDP Manufacturing) ในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 8.5% สูงสุดเป็นอันดับสามในรอบสิบปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ EIC จึงปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของ GDP เป็น 5.6-5.8%
อุปสงค์ในประเทศจะขยายตัวได้ดีตามภาคการผลิต
ภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวกลับมารวดเร็วกว่าที่คาด สะท้อนความมั่นใจของผู้ประกอบการที่จะเร่งฟื้นฟูกำลังการผลิต ดังนั้นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นคือการลงทุนในเครื่องจักรและปัจจัยการผลิตเพื่อทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและรองรับการขยายตัวในอนาคต EIC ประเมินว่าการลงทุนภาคเอกชนน่าจะเติบโตดีราว 12% ในส่วนของภาคครัวเรือน การบริโภคน่าจะขยายตัวดีราว 4.2% จากการซื้อสินค้ามาทดแทนส่วนที่เสียหาย ทั้งนี้อัตราการว่างงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
มีแรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐที่น่าจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
EIC คาดว่าในปีนี้การลงทุนของภาครัฐจะขยายตัว ต่างจากสองปีที่ผ่านมาที่หดตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการลงทุนโดยพระราชกำหนดบริหารจัดการน้ำงเงิน 3.5 แสนล้านบาท และการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ วงเงิน 50,000 ล้านบาท การที่พระราชกำหนดบริหารจัดการน้ำสามารถผ่านกระบวนการทางกฎหมายและขั้นตอนทางศาลรัฐธรรมนูญเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ภายหลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา น่าจะส่งผลต่อความรวดเร็วในการพิจารณาและการเบิกจ่ายของโครงการต่างๆ
คาดว่าจะมีเม็ดเงินเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดสองฉบับนี้เข้าสู่ระบบประมาณ 9.13 หมื่นล้านบาทภายในปีงบประมาณ 2555 (FY2012) คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 22% ของการลงทุนภาครัฐ หรือเป็นการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น 3.6% จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายลงทุนในงบประมาณประจำปีแล้ว การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลบวกต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ 0.6% คาดว่าการใช้จ่ายภาครัฐทั้งหมดจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 1.1% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
อัตราเงินเฟ้อปี 2012 ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงจากแรงกดดันด้านต้นทุน
EIC ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ระดับ 3.5-4.0% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงานจะอยู่ที่ระดับ 2.5-3.0% ซึ่งยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อพื้นฐานของ ธปท. แรงกดดันด้านต้นทุนในปีนี้มาจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ สำหรับราคาพลังงานในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการตึงตัวของอุปทานน้ำมันดิบ และสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้แม้ว่าการเจรจาระหว่างกลุ่ม P5+1 กับอิหร่าน เมื่อ 14 เมษายน จะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่สหรัฐฯ และยุโรป ยังไม่มีแผนยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน หากการเจรจาเดือนพฤษภาคมไม่สำเร็จและนำไปสู่การใช้กำลังทหาร จะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี EIC คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. ถึงแม้ว่าจะมีการใช้กำลังทางทหาร สำหรับการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีผลในเดือนเมษายนนี้ ประเมินว่าต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยราว 3.3% ซึ่งส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 0.7% นอกจากนี้สิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกันคือปัจจัยเสี่ยงต่อเงินเฟ้อที่ไม่ใช่ต้นทุน ซึ่งในปีนี้การใช้จ่ายของภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงปลายปีเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นได้
ธปท. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3% จนถึงสิ้นปี 2012
แม้แรงกดดันเงินเฟ้อยังมีค่อนข้างมาก แต่ EIC มองว่า ธปท.จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิต (เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลก) หรือ cost-push inflation ที่นโยบายการเงินไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งต่างจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการขยายตัวของอุปสงค์ หรือ demand-pull inflation ทั้งนี้มองว่าความเสี่ยงที่อุปสงค์ในประเทศจะขยายตัวเร็วเกินไปมีไม่มากนัก สำหรับโอกาสที่ ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้นมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงลดลงไปมากจากมาตรการช่วยเหลือด้านการคลังและสภาพคล่องในยุโรป และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ดังนั้นต้นทุนการกู้ยืมเงินสกุลเงินบาทปีนี้น่าจะทรงตัว
ต้นทุนการกู้ยืมเงินในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแพงขึ้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่มีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบที่สามออกมา เริ่มทำให้ yields ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยค่าเฉลี่ยการประมาณการของผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ณ สิ้นปี 2012 อยู่ที่ 2.5%7 สูงกว่าระดับเมื่อต้นปีประมาณ 50 basis points ซึ่ง yields ที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้ประกอบการแพงขึ้นได้
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทน่าจะแกว่งตัวอยู่ในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ความเสี่ยงที่อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนยังมีอยู่ เพราะปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปยังคงไม่จบในเร็ววัน ทั้งนี้ค่าเงินบาทน่าจะแกว่งตัวในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแคบลงกว่าช่วงต้นปีเล็กน้อยเพราะมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินของยุโรปน่าจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นอีก ดังนั้นเงินบาทจะปรับตัวตามปัจจัยพื้นฐานในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ และมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ตามเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเอเชีย
ปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้แต่ไม่มากนัก
ปัจจัยในประเทศที่สำคัญคือการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้ที่จะน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกช่วงต้นปีที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับปัจจัยนอกประเทศนั้นคือเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ปรับตัวดีขึ้นจะทำให้ความต้องการลงทุนและอุปสงค์ของดอลลาร์สหรัฐฯในประเทศสหรัฐฯมีมากขึ้น ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์ไม่อ่อนค่าลงเหมือนปีก่อนๆ ดังนั้นเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นได้อีกเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปลายปี 2012
____________________________________________________________________________________________________________________________การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำก้าวกระโดดเป็น 300 บาทเมษายน จะส่งผลกระทบทางต้นทุนต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีการจ้างแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมากและมีผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันด้านราคาในตลาดส่งออกเป็นหลัก เมื่อผลิตภาพแรงงานไม่สามารถปรับขึ้นทันค่าจ้างที่ปรับเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้าขึ้น เป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ประเมินว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.7% ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยในปี 2012 อยู่ที่ 3.5-4.0% ขณะเดียวกันคาดว่าอัตราการว่างงานจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือยังคงมีอยู่ และยังมีภาคส่วนอื่นที่สามารถรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างได้ คาดว่าระยะยาวอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานราคาถูกจะทยอยย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่ามาก
การประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศทันทีจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือจำนวนมาก และมีสัดส่วนต้นทุนแรงงานต่อต้นทุนรวมสูง
ตั้งแต่ 1 เมษายน 2012 อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำปรับขึ้นราว 40% ทั่วประเทศ โดยมี 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภูเก็ต ที่หลังจากปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 40% แล้วทำให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากับ 300 บาทต่อวัน การปรับขึ้นครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือต่อแรงงานทั้งหมดในสัดส่วนสูง ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และเกษตรกรรม เป็นต้น รวมถึงธุรกิจที่มีสัดส่วนต้นทุนแรงงานต่อต้นทุนรวมในระดับสูง ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจบริการ เป็นต้น ประเมินว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 40% จะกระทบต่อต้นทุนธุรกิจเหล่านี้เฉลี่ย 3.3% ในปี 20122 ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการใช้แรงงานของแต่ละอุตสาหกรรม และความสามารถปรับประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือก่อสร้างและภาคเกษตรกรรม โดยมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นราว 4.5%
ในขณะที่อุตสาหกรรมปลายน้ำจะได้รับผลกระทบทางอ้อมมากกว่า
อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือในสัดส่วนสูงจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 40% ค่อนข้างมาก ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมปลายน้ำที่มีห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) ค่อนข้างยาว คือต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากอุตสาหกรรมอื่นค่อนข้างมาก จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องอาศัยสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ เมื่อราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นจากค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มสูงขึ้น
ระยะยาวผู้ประกอบการจำเป็นต้องนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้น และทดแทนแรงงานที่เสียไป
โดยธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตมากกว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเงินทุนน้อยกว่า ซึ่ง SMEs จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำนี้ แต่ละอุตสาหกรรมมีความสามารถในการปรับตัวได้แตกต่างกัน ทั้งในแง่การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบทดแทน กรณีที่ไม่มีการปรับตัวใดๆ ผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่อต้นทุนการผลิตในบางอุตสาหกรรมจะพุ่งสูงขึ้นถึง 5.8-6.3% ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการบางส่วนต้องปิดกิจการ EIC มองว่าผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่จะสามารถปรับการผลิตเพื่อรองรับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น และสามารถขยายหรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการขยายตลาดได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามอัตราการว่างงานของประเทศจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ
อัตราการว่างงานของไทยกุมภาพันธ์อยู่ที่ 0.7% ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และมีอัตราการขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือมากกว่าแรงงานมีฝีมือ ทำให้ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงยังสามารถรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากแหล่งอื่นได้ ระยะสั้นแม้ว่าแรงงานจำนวนหนึ่งอาจต้องถูกเลิกจ้างจากธุรกิจที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น แต่แรงงานเหล่านี้จะหางานใหม่ได้ไม่ยากนัก นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีภาคเศรษฐกิจนอกระบบค่อนข้างใหญ่ ราว 57% ของ GDP ในปี 20104 และยังมีภาคเกษตรกรรมที่มีสัดส่วนแรงงาน 1 ใน 3 ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศ สามารถรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างเหล่านี้ได้
ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นราว 0.7% ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยของปี 2012 อยู่ที่ 3.5-4.0%
ผลิตภาพแรงงานจะไม่สามารถปรับขึ้นได้ทันกับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นโดยทันที ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนที่สูงขึ้น จนต้องมีการปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นมายังผู้บริโภค ซึ่งจะกดดันให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นราว 0.7% จากกรณีที่ไม่มีการขึ้นค่าจ้าง
คาดว่าในระยะต่อไป ธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานราคาถูก จะทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าจ้างต่ำกว่า
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของไทยหลังมีการปรับขึ้นจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับค่าจ้างขั้นต่ำหรือค่าจ้างแรงงานไร้ฝีมือของมาเลเซียและฟิลิปปินส์ และจะมีส่วนต่างของค่าจ้างเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ดังนั้นธุรกิจที่เน้นการส่งออกและต้องแข่งขันด้านราคา เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และผลิตภัณฑ์พลาสติก จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในแง่ของการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศเนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวใช้แรงงานไร้ฝีมือเป็นสัดส่วนค่อนข้างมาก หรือราว 50% ของแรงงานทั้งหมดในอุตสาหกรรม
จึงมีแนวโน้มที่อุตสาหกรรมเหล่านี้จะทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และเวียดนามที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า การเปิดเสรีทางการค้าภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวตัดสินใจลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทนประเทศไทยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีตลาดในประเทศเป็นหลักน่าจะยังคงฐานการผลิตไว้ในประเทศไทย จนกว่าข้อจำกัดด้านการขนส่งและศุลกากรระหว่างประเทศจะคลี่คลายและมีความชัดเจนขึ้น
